วันวานกับวันนี้

วันวานกับวันนี้

บางทีอาจจะเป็นเพราะผมแก่ตัวลงทำให้ชอบมองย้อนหลังและเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบันในทุกเรื่องทุกประเด็นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  สังคมและการเมือง

  โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องที่ผมคิดว่าเป็น  “แนวโน้ม” ใหญ่  หรือเป็นกระแสที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวทางเดียว  ไม่ใช่เรื่องที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นกลับไปมาหรือขึ้นลงเป็นแฟชั่น  ในบทความนี้ผมคงพูดเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเป็นหลักและก็จะเป็นเรื่องที่มาจากความเข้าใจและความรู้สึกที่เก็บสะสมมาต่อเนื่องยาวนานโดยไม่ได้อ้างอิงตัวเลขแบบวิชาการ   อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าตัวเลขจริงก็คงไม่ผิดไปมากจนทำให้ข้อสรุปนั้นมีความผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ

  เรื่องแรกก็คือการเติบโตของเศรษฐกิจซึ่งในอดีตนั้นเราเคยโตเร็วมาก  ช่วงเวลาส่วนใหญ่เราเคยโตประมาณ 7% ต่อปี  บางช่วงสั้น ๆ  เราเคยโตเกิน 10% และช่วงที่เราประสบ “ปัญหา” ทางเศรษฐกิจ เราก็โตประมาณ 5% แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าเราจะโตแค่ 3% ต่อปี หรือน้อยกว่านั้น  นั่นเป็นตัวเลขคร่าว ๆ  ผมจำได้ว่าในช่วงที่เศรษฐกิจโตเร็วนั้น  กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความคึกคักมาก  ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กนั้น  แค่เห็นแสงไฟนีออนในยามค่ำคืนที่เยาวราชและต่อมาแถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่เป็นแหล่งของ “คนกลางคืน” มันก็บอกได้ถึงความเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว  ต่อมาก็เป็นเรื่องของรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเต็มถนน  การผุดขึ้นของคอนโดมิเนียม  การเติบโตของห้างค้าปลีกสมัยใหม่  และแม้แต่ร้านอาหารจีนหรืออาหารทะเลที่แสนแพงต่าง ๆ  เหล่านี้  ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคนรวยขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น  ตรงกันข้าม  ในระยะหลังหรือวันนี้  ผมก็เริ่มเห็นสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจกำลังหงอยเหงาลง  ภัตตาคารหรูหลาย ๆ  แห่งที่ผมเคยไปกินต่อเนื่องมาเป็นสิบ ๆ ปี  ค่อย ๆ  ทยอยปิดตัวลง  จริงอยู่  การเปลี่ยนพฤติกรรมของการกินก็คงมีส่วนบ้าง  แต่ผลจากภาวะเศรษฐกิจน่าจะมากกว่า

 ตลาดหุ้นเมื่อวันวานกับวันนี้นั้น  ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร  สิ่งที่ชัดเจนก็คือการลดลงของนักลงทุนส่วนบุคคลที่ซื้อขายหุ้นลงทุนเองในตลาดนั้น  หลังจากที่ Peak หรือขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงประมาณ 6-7 ปีมาแล้ว  บัดนี้ดูเหมือนว่าจะลดลงไปมาก  จากตัวเลขปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันประมาณ 70-75% ในช่วงต้น ๆ  ของการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์  และสูงเกิน 50% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดมานานมาก  เดี๋ยวนี้เหลือแค่ประมาณ 30-40%  โดยที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อขายกันประมาณ 25-35% ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงวันนี้  ผู้เล่นใหม่ที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ก็คือนักลงทุนสถาบันที่ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 15% จากที่มีบทบาทน้อยมากในอดีต

 ปริมาณการซื้อขายของหุ้นตัวเล็กเทียบกับขนาดหรือ Market Cap. นั้นสูงมากในอดีตซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นที่มักเป็นรายย่อยนั้นเป็น  “นักเก็งกำไร” ที่ซื้อขายหุ้นเพราะหวังส่วนต่างของราคาหุ้นในระยะสั้น  ในช่วงที่การเก็งกำไรสูงสุดประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น  การเห็นหุ้นตัวเล็กหรือกลาง-เล็ก ติดอันดับ 1 ใน 10 ของหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดจำนวนหลายตัวเกือบทุกวันเป็นเรื่องปกติ  แต่ในวันนี้หุ้นตัวเล็กหรือกลาง-เล็กแทบไม่เคยติดอันดับเลย  นักเก็งกำไรเองนั้นก็ยังคงอยู่  แต่ก็มีน้อยลงอานิสงค์จากการที่หุ้นตัวเล็กมีราคาตกลงไปมากซึ่งทำให้นักเล่นหุ้นหายไปจากตลาดไม่น้อย  นักลงทุนส่วนบุคคล “รายใหญ่” หลายคนผันตัวเองไปเล่นเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่โดยใช้เครื่องมือหรือตราสารทางการเงินที่สามารถ  “ขยายผลของราคาโดยการกู้” เช่น  บล็อกเทรด  มาเล่นแทนการเล่นหุ้นขนาดเล็ก

 ในอดีตนั้น  หุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงมาก  ราคาขึ้นไปเป็นหลายเท่าตัวในเวลาไม่นานมักจะมีแต่หุ้นขนาดเล็กหรือกลาง-เล็ก  สาเหตุมักจะมาจากการที่บริษัทมีการเติบโตของผลประกอบการที่โดดเด่นซึ่งทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรโดยการเข้ามาซื้อหุ้นจำนวนมากจนหุ้นถูก “Corner” ปริมาณ Free Float ที่มีน้อยทำให้หุ้นสามารถถูกกำหนดโดย “เจ้ามือ” ที่มักเป็นนักลงทุนรายใหญ่เมื่อเทียบกับนักลงทุนรายย่อยอื่น ๆ  แต่เดี๋ยวนี้หุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่มี Free Float คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมดไม่มากก็สามารถถูกต้อนเข้ามุมเหมือนกัน  เหตุผลก็คือ  นักลงทุนสถาบันที่มีเม็ดเงินจำนวนมากได้เข้ามาเล่นในเกมนี้ด้วย  ก่อนหน้านี้อาจจะเล่นในหุ้นขนาดกลางหรือกลาง-เล็ก  เวลานี้หุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการเติบโตเร็วก็วิ่งเร็วได้จนไม่น่าเชื่อเหมือนกัน  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  นักลงทุนสถาบันบางแห่งเริ่มเข้ามาทำตัวเหมือนนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ในตลาด

  ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่อดีตนั้น  เราไม่เคยขาด  “เซียนหุ้นรายใหญ่” ที่เป็นบุคคลธรรมดา  ตั้งแต่จำความได้  เรามี “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดตลาดใหม่ ๆ  ในช่วงแรก ๆ  ก็มีไม่กี่คน  พวกเขามีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นบางตัวในบางเวลามาตลอดและมักจะเป็นที่รู้กันในวงการ  บางครั้งมีถึงขนาดจะไปเทคโอเวอร์แบ้งค์ขนาดใหญ่  แน่นอน  ในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะในยามที่ตลาดประสบกับวิกฤติพวกเขาก็มักจะห่างหายไปบ้าง  แต่เมื่อตลาดหุ้นคึกคักขึ้นก็จะกลับมาใหม่  ขาใหญ่นั้น  หลายคนก็หายไปจากตลาดเมื่อเวลาผ่านไปแต่หลายคนก็ยังคงอยู่และใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  ตามตลาดหลักทรัพย์ที่โตขึ้น  ชื่อของพวกเขานั้นทุกคนในตลาดต่างก็รู้จักดีเพราะอยู่มานานเป็นสิบ ๆ ปี

แต่คนอาจจะไม่รู้ว่าในวันนี้  ขาใหญ่หรือเซียนหุ้นรายใหม่นั้นเกิดขึ้นไม่น้อยโดยที่หลายคนนั้นไม่เป็นที่รู้จักของคนในสังคม  พวกเขาเพิ่งเติบโตขึ้นมา  ส่วนใหญ่อาจจะไม่เกิน 10 ปีด้วยซ้ำ   แต่ขนาดของเม็ดเงินและความสามารถที่จะขับเคลื่อนหุ้นนั้นมหาศาล  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะกล้าได้กล้าเสียกว่าในการที่จะ Leverage หรือกู้เงินขยายผลการลงทุนเป็นหลาย ๆ  เท่าตัว  อิทธิพลของนักลงทุนรายใหญ่รุ่นใหม่นั้นน่าจะแซงเซียนหุ้นรุ่นเก่าไปแล้ว  ในขณะที่เซียนหุ้นรุ่นเก่านั้นก็กำลังเข้าสู่วัยสูงอายุและอาจจะค่อย ๆ  ถอนตัวออกไปจากตลาดในไม่ช้า

สมัยก่อน คือช่วงตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นถึงปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 เป็นเวลา 22 ปี นั้น  คนที่ “ลงทุนในตลาดหุ้น” นั้น  แทบจะเรียกว่าไม่มี  มีแต่คน “เล่นหุ้น”  ที่เป็น “รายใหญ่” หน่อยก็มักเป็นคนทำธุรกิจที่ชอบเก็งกำไรและมีเงินมากหน่อยก็จะเข้ามาเล่นหาเงินจากตลาดหุ้น  นักลงทุนที่เหลือก็คือนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยที่มักจะเป็นแม่บ้านหรือคนที่ชอบเก็งกำไรหรือเล่นการพนัน  คนที่เป็นพนักงานบริษัทที่จะเล่นหุ้นนั้นจะมีก็แต่คนที่อยู่ในวงการการเงินและหลักทรัพย์  การเล่นหุ้นนั้นมักจะอาศัยข่าวสารข้อมูลที่เป็นเรื่องของภาพใหญ่และเหตุการณ์และกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัท  แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของ  “ข้อมูลภายใน”  เกี่ยวกับผลประกอบการและการเข้ามาเล่นของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีอิทธิพลขับเคลื่อนราคาหุ้นได้

หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเกิดขึ้นของแนวความคิดการลงทุนแบบ VI มาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลาประมาณ 20 ปี  กลุ่มของนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไปมาก นักลงทุนส่วนบุคคลกลายเป็นคนกินเงินเดือนหรือคนทำงานส่วนตัวที่มีรายได้และการศึกษาสูง  นักลงทุนสถาบันเกิดขึ้นมากมายอานิสงค์จากการส่งเสริมของภาครัฐที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนหุ้นระยะยาว  กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนประกันสังคม  และกองทุนต่าง ๆ  สารพัด นอกจากนั้น  การเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรศาสตร์และสังคมที่คนไทยต่างก็มีลูกน้อยลงมากหรือไม่มีเลยทำให้ต้องลงทุนเพื่อการเกษียณของตนเองแทนที่จะหวังพึ่งพาลูก  ทั้งหมดนี้ทำให้มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ได้คิดว่าหุ้นเป็นเรื่องของการพนันแต่เป็นการลงทุน  “เพื่อชีวิต” การลงทุนในตลาดหุ้นเองนั้นไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนในธุรกิจ  และดังนั้น  การวิเคราะห์และศึกษาข้อมูลของบริษัทเพื่อที่จะใช้เลือกหุ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ  ทั้งหมดนี้ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นกิจกรรมที่สำคัญระดับชาติ  ตลาดหลักทรัพย์กลายเป็น “เสาหลัก” ที่สำคัญไม่แพ้สถาบันหลักอื่น ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

กล่าวโดยสรุปทั้งหมดก็คือ  เศรษฐกิจในอดีตของเราก้าวหน้าเร็วมากแต่กำลังชะลอลงอย่างแรงในวันนี้  ส่วนตลาดหุ้นของเราก็เช่นกัน  มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแรงมั่นคงมีมาตรฐานดีขึ้นมากมานาน  แต่การเติบโตของหุ้นที่ค่อนข้างนิ่งมานานถึง 6-7 ปี รวมถึงการลดลงของการสนับสนุนจากภาครัฐในช่วงเร็ว ๆ  นี้ก็อาจจะทำให้ตลาดหงอยลงได้เช่นกัน