Amazon” เจ้าสังเวียนดีสรัปชั่น [1]

Amazon” เจ้าสังเวียนดีสรัปชั่น [1]

ในปี 2019 ที่ผ่านมาข่าวการชิงชัยของกลุ่มดิจิทัลยักษ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Google, Apple, Microsoft, Facebook, SpaceX, Alibaba หรือ WeChat

ได้สร้างความกังวลให้กับเจ้าสนามเดิมถึงการขยายตัวทางธุรกิจของกลุ่มดิจิทัลเงินทุนหนักที่เติบโตต่อเนื่องและแตกลายธุรกิจข้ามเส้นจนกระทบถึงธุรกิจหลากแขนง ซึ่งดูเหมือนว่าในปี 2020 ค่ายใหญ่ดิจิทัลคงไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ แต่คงใช้อีโคซิสเต็มที่มีอยู่ในการผนึกความแข็งแกร่งกับพันธมิตรเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ท้าทายทุกธุรกิจอย่างเหนือชั้นต่อไป

แม้ว่าอเมซอนจะไม่ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าในประเทศไทย แต่โมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่อเมซอนริเริ่มได้ดีสรัปธุรกิจรีเทลทั่วโลกอย่างรุนแรง จนในไตรมาสที่ผ่านมา (Q3/2019) ทำรายได้ถึง 70,000 ล้านดอลลาร์และสูงติดต่อกันทุกปี ถึงแม้จะมีกำไรต่ำกว่า 3% แต่อเมซอนก็ถูกประเมินมูลค่าถึง 880,000 ล้านดอลลาร์เพราะกลยุทธ์ในการนำเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนต่อยอดในธุรกิจ เช่นการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ ศูนย์จัดและกระจายสินค้าและโซลาร์ฟาร์ม ตลอดจนพัฒนาวอยซ์แพลตฟอร์มชั้นนำที่ชื่อว่า “Alexa” และนวัตกรรม AI รวมถึงเทคโนโลยีการพัฒนาซอฟต์แวร์และงานที่ใช้คลาวด์คอมพิวติ้งเพื่อบริการเทคโนโลยีด้าน Facial Recognition และ Blockchain

 

ขยายฐาน O2O สู่ Prime

ความเป็นเจ้าสนามด้านอีคอมเมิร์ซของอเมซอนเป็นที่กล่าวขวัญขึ้นอีกครั้ง เมื่ออเมซอนเข้าซื้อกิจการของซุปเปอร์มาร์เก็ตอินเทรนด์อย่าง “Whole Foods” ที่มีสาขาถึง 460 แห่งในปี 2017 และเปิดยุค “Online-to-Offline Commerce (O2O)” เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าที่สนใจสินค้าทางออนไลน์สามารถมาซื้อสินค้าหรือรับบริการต่างๆ ได้ทางออฟไลน์ เช่นที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือสโตร์ที่อยู่ใกล้บ้าน นอกจากนี้อเมซอนยังเปิดออฟไลน์สโตร์ อาทิ “Amazon Books”, “Amazon 4-star” และ “Amazon Go”

จากข้อมูลพบว่าลูกค้ายังคงจับจ่ายสินค้า 80% ผ่านทางออฟไลน์ ดังนั้นการขยายการขายสู่ช่องทางออฟไลน์ย่อมช่วยสร้างรายได้ให้แก่อเมซอน อีกทั้งยังเชื่อมประสบการณ์การซื้อสินค้าครบวงจรแบบออมนิแชนแนล (OmniChannel) โดยเฉพาะเมื่ออเมซอนสามารถเข้าใจถึงข้อมูลการเลือกชมสินค้าและความไม่พึงพอใจของลูกค้าในเชิงลึกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้อเมซอนสามารถปรับปรุงการให้บริการออฟไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้า

การขยายฐานการขายย่อมเพิ่มโอกาสการเป็นสมาชิก “Prime” ที่มีกว่า 101 ล้านราย โดยอเมซอนได้รับรายได้จากค่าสมาชิก Prime รายละ 119 ดอลลาร์ต่อปี จนสามารถนำรายได้ดังกล่าวมาใช้ในการให้บริการจัดส่งสินค้าฟรี การฟังเพลงหรือชมภาพยนตร์ และให้โปรโมชั่นกับสมาชิกเพื่อจับจ่ายสินค้ามากขึ้น โดยประมาณว่าลูกค้าระดับสมาชิก Prime จะจับจ่ายเฉลี่ยรายละ 1,400 ดอลลาร์

 

Voice คลื่นใหม่ที่มาถึง

ในปี 2014 หลังจากที่อเมซอนได้พัฒนาดิจิทัลแอสซิสแทนซ์ที่ชื่อ Alexa เพื่อสื่อสารและรับคำสั่งผ่านการสนทนา และเริ่มติดตั้งในสินค้าขายดีของอเมซอนที่ชื่อ “Echo” โดยอเมซอนประมาณว่าปัจจุบันมีการติดตั้ง Alexa ในอุปกรณ์กว่า 85,000 ชนิดจาก 9,000 แบรนด์ที่ส่วนมากใช้กับสมาร์ทโฮมเพื่อควบคุมการทำงานผ่านการสนทนา และเชื่อว่ามีสินค้าถูกจำหน่ายไปแล้วกว่า 100 ล้านชิ้นที่ได้ติดตั้ง Alexa 

ความสำเร็จของ Alexa และ Echo เท่ากับตอกย้ำการเกิดของอุปกรณ์ประเภทใหม่ที่ใช้เสียงในการสื่อสารและการทำงาน ซึ่งคาดว่าในปี 2019 อเมซอนสามารถจำหน่าย Echo ได้กว่า 49 ล้านชิ้น และครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 63% จนทิ้งห่างคู่แข่งอย่างกูเกิลและแอปเปิ้ล โดยมีฟังก์ชั่นการใช้งานผ่าน Alexa กว่า 100,000 ฟังก์ชั่น (หรือที่เรียกว่า “Skill”) ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากคู่ค้าและอเมซอน เช่นการเปิดปิดไฟ การเรียกรถอูเบอร์ หรือสั่งพิซซ่า อีกทั้งกำลังถูกแปลงเพื่อให้รับคำสั่งได้ในหลายภาษา

 

สร้างคลาวด์ขั้นเทพ

Amazon Web Services (AWS) เป็นบริการคลาวด์คอมพิวติ้งของอเมซอนที่มีสัดส่วนตลาดมากที่สุดในโลก ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2000 จากความพยายามของอเมซอนที่ต้องการแก้ปัญหาด้านซอฟต์แวร์และระบบฐานข้อมูล รวมถึงฝันที่จะเป็นให้ได้มากกว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขายหนังสือ

จนในวันนี้ AWS กลายเป็นโครงสร้างสำคัญของแพลตฟอร์มในยุคอินเตอร์เน็ตด้วยการริเริ่มบริการคลาวด์คอมพิวติ้งแก่องค์กร คิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง (“Pay-as-you-go”) ซึ่งทำรายได้ให้อเมซอนถึง 9,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ผ่านมาหรือคิดเป็น 13% ของรายได้ทั้งหมด โดย AWS ให้บริการด้านการพัฒนาและบริหารจัดการซอฟต์แวร์ครบวงจร ตลอดจนระบบที่ช่วยในการพัฒนา Machine Learning และบริการด้าน Blockchain โดยล่าสุดอเมซอนได้พัฒนาชิพสำหรับ AI (Inferentia A.I. Chip) เพื่อทำนายผลของข้อมูลจากโมเดลของ Machine Learning

 

ดีสรัปชั่นที่รอเวลาเกิด

อเมซอนนับเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำที่ใช้งบประมาณด้านงานวิจัยสูงที่สุด โดยในปี 2017 ได้ใช้งบประมาณกว่า 22,600 ล้านดอลลาร์ ด้วยกลยุทธ์การนำเงินรายได้มาใช้ลงทุนกับการค้นคว้าพัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์แห่งอนาคตโดยยอมลดกำไรของบริษัทในแต่ละปีซึ่งต่างจากการบริหารของบริษัททั่วไป จนเปลี่ยนทัศนะคติของผู้คนจากที่เคยเห็นว่าอเมซอนเป็นเพียงบริษัทอีคอมเมิร์ซไปเป็นบริษัทนักพัฒนา (Innovator) ตัวจริงที่แข็งแกร่งและรวดเร็ว จึงเป็นข้อคิดที่ดีให้บริษัทมีวิสัยทัศน์และใส่ใจในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการอยู่รอดทางธุรกิจ