อย่าให้กาลเวลากลืนกิน .. จนสิ้นคิด!!
เนื่องในปีใหม่ (พ.ศ. ๒๕๖๓)
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา เข้าสู่เขตกาลปีพุทธศักราช ๒๕๖๓... เรามักจะยึดถือว่า นี่คือจุดเริ่มต้นชีวิต .. จึงมักจะนิยมกล่าวกันว่า ขอเราจงมีแต่ความสุข ความเจริญ ในปีใหม่นี้เถิด !!
การยึดกาลเวลาเป็นเขตบุญบาป... ถ้าพิจารณาตามหลักกฎแห่งกรรม .. น่าจะผิดเพี้ยนวิบัติไปจากธรรม.. ดังกิจกรรมการสวดมนต์ข้ามปี ที่ออกไปในแนวมนตรยาน .. ล้อเลียนพราหมณ์จนถูกฮินดูกลืนกินไม่มีเหลือ ให้สูญสิ้นไปจากชมพูทวีป เพียงแค่พันกว่าปีหลังพุทธปรินิพพาน
พุทธศาสนาอุบัติเกิดขึ้นด้วยมูลเหตุที่แตกต่างไปจากศาสนาต่าง ๆ ที่มีในโลก ซึ่งสมัยนั้นมีมากถึง ๖๒ ทฤษฎี การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ .. ประกาศกฎอนัตตา ซึ่งไม่มีใคร ๆ ศาสนาใด เข้าถึง รู้แจ้งในกฎธรรมชาติดังกล่าวเลย จึงนำไปสู่การปฏิวัติลัทธิศาสนา .. ลบล้าง ๖๒ ทฤษฎี (ทิฏฐิ) อย่างสิ้นเชิง ดุจฟ้าผ่าลงท่ามกลางหมู่เจ้าลัทธิทั้งหลายในชมพูทวีปสมัยนั้น ด้วยคำสอนที่อ้างกฎอนัตตา .. อันเป็นความมีอยู่จริงของความเป็นปกติในธรรมชาติ เป็นเรื่องตรงข้ามกับคำสอนของพราหมณ์ ที่ว่าด้วย พระเวทย์ทั้งหลาย อ้างอิงเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในดินแดนลี้ลับ ที่ชาวโลกได้แต่จินตนาการไปตามคำบอกกล่าวเล่าลือกันมา...
แม้ในฝักฝ่ายอเทวนิยม ... ที่มุ่งเน้นการเพียรสุดโต่ง อย่างศาสนาเชนหรือไชนะของนิครนถนาฏบุตร ก็หาได้มีความเข้าใจในกฎอนัตตาไม่... เราจึงเห็นการขับเคี่ยวกันในการประกาศลัทธิคำสอนของแต่ละศาสนา ท่ามกลางชาวโลกในสมัยนั้น
นอกจากเกิดการปฏิวัติลัทธิศาสนาแล้ว .. การปฏิรูปโดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปจากหลักการแนวทางปฏิบัติเดิมก็เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นการเติมสติปัญญาลงไปแทนที่โมหะ เพื่อให้การกระทำแบบนั้นได้สาระที่แท้จริง...
เราจึงเห็นความละม้ายในการปฏิบัติในหลาย ๆ เรื่อง ระหว่างพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาลัทธิต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมสมัย... แต่ในความละม้ายนั้น หามีส่วนความเสมือนไม่ .. จึงไม่ต้องกล่าวถึงความเหมือนกัน...
ด้วยพุทธศาสนาคำนึงถึงประโยชน์ ๓ ระดับ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด... จึงเห็นวิธีการปฏิรูปที่ไม่ถึงกับหักล้างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่นำมาปรับปรุงให้ถูกต้องตามหลักธรรมที่มุ่งสู่ท่ามกลางและที่สุด.. เพื่อความบริสุทธิ์หมดจด บริบูรณ์สิ้นเชิง ในการประพฤติพรหมจรรย์ในพุทธศาสนา
เราจึงเห็นการกราบไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนา การประกอบศาสนพิธีตามวัดวาอารามทั้งหลาย การทำบุญสร้างกุศลแบบชาวโลกนิยม ที่มุ่งเน้นไปในเรื่องของการทำทาน.. ที่ออกจะคล้าย ๆ กัน แม้การกรวดน้ำอุทิศบุญไปสู่ผู้ล่วงลับไปแล้วทั้งหลาย หรือการพลีบุญให้เทวดาที่เรียกว่า เทวตาพลี .. ที่ปรากฏอยู่ในหลักพลี ๕ ประการ ซึ่งสาระของการพลี คือ การทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นจากโภคทรัพย์ที่มีหรือได้มาโดยสุจริต ซึ่งจักต้องรู้จักพิจารณาถึงประโยชน์ควรถือเอาจากโภคทรัพย์ที่มี ไม่ว่าจะไว้ใช้สอยเพื่อตนเองและครอบครัว พ่อแม่ ญาติมิตร ผู้ร่วมงาน และเพื่อเก็บไว้ใช้สอยในยามจำเป็น (ป้องกันภยันอันตราย) แล้วนั้น การกระทำพลี ๕ อย่างเป็นเรื่องที่ควร ได้แก่ ญาติพลี อติถีพลี (ต้อนรับแขก) ปุพพเปตพลี (ทำบุญให้ผู้ล่วงลับ) ราชพลี (บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากร) และเทวตาพลี (ถวายเทวดา) ซึ่งหมายรวมถึงการทำบุญอุทิศสิ่งที่เคารพบูชาตามความเชื่อถือ ซึ่งในข้อนี้คงจะสอดคล้องกับหลักเจริญเทวตานุสติ ที่ให้คำจำกัดความเทวดาได้ชัดเจนในความหมายของพุทธศาสนา เพื่อการเจริญสติ
ประการสำคัญ จะเห็นได้ว่า การทำพลี ๕ ประการนั้น สอดคล้องกับมงคลธรรม ๓๘ ในมงคลสูตร ตั้งแต่ข้อ ๑๑-๑๘ ที่สามารถตอบคำถามได้ว่า ทำไมต้องพลีบุญ ๕ ประการ และ พลีบุญอย่างไรจึงจะไม่ตกไปจากฐานะของพุทธบริษัทในพระธรรมวินัยนี้
กลับมาสู่การแสวงหามงคลให้กับชีวิต เนื่องในวารดิถีเข้าสู่ปีใหม่ ตามเครื่องหมายของกาลเวลาที่โลกนิยม ที่ได้มีการคิดอ่านหาวิธีการแปลก ๆ มาใช้ เพื่อการสรรสร้างมงคลให้กับชีวิต ที่เริ่มเหวี่ยงกลับไปสู่ความเสมือนกันในลัทธิเทวนิยมตามหลักศาสนาพราหมณ์ โดยอ้างอิงว่า พุทธศาสนาถือปฏิบัติได้ จึงเป็นเรื่องที่อันตรายต่อการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาชีวิตให้มุ่งสู่ประโยชน์และความควรในพุทธศาสนาตามหลักพระสัทธรรมแท้จริง
จึงควรที่สาธุชนต้องควรรู้จักคิดพิจารณาว่า.. วิธีการปฏิบัตินั้น ๆ ไม่ว่า สวดมนต์ ทำทาน รับศีล ปฏิบัติสมาธิ ใช่หรือคือ การปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยในพุทธศาสนา ถ้าเกิดมีความสงสัยว่าใช่หรือไม่ .. ให้ใช้หลักตัดสินพระธรรมวินัย ๘ ประการเข้าไปตรวจสอบว่า การปฏิบัตินั้น ๆ ไม่ว่า ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นไปเพื่อคลายความกำหนัดย้อมใจ ปราศจากทุกข์ ไม่สั่งสมกองกิเลส ความอยากอันน้อย ความสันโดษ ความหลีกเร้นจากหมู่คณะ ความเพียร และความเลี้ยงง่าย หรือไม่.. หากขัดแย้งกับทั้ง ๘ ข้อ หรือเพียงข้อใดข้อหนึ่ง ให้ตัดสินได้เลยว่า นั่น ไม่ใช่วิถีแห่งพุทธศาสนานี้ !!