แนวโน้มอุตสาหกรรมพลังงานปี 2563

ฝ่ายวิจัยฯ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มพลังงาน (Energy Sector) ล่าสุด มีทั้งปัจจัยบวกและลบ จึงให้น้ำหนักลงทุนในกลุ่มนี้เพียงแค่ 'เท่ากับตลาดฯ'

โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน 1) แนวโน้มราคาน้ำมันดิบ (ดูไบ) ปี 2563: ช่วงต้นปีมีโอกาสที่จะแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 65-70 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส (กลุ่มโอเปกและกลุ่มพันธมิตร) อีกราว 500KBD (พันบาร์เรลต่อวัน) ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี คาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบจะเริ่มอ่อนตัวลงในครึ่งปีหลังของปี 2563 เนื่องจาก อุปทานน้ำมันสหรัฐฯที่จะเร่งตัวขึ้นหลังจากที่ท่อส่งน้ำมันใหม่ขนาดใหญ่สามเส้นของสหรัฐฯที่มีกำลังการผลิตรวม 2.5MBD (ล้านบาร์เรลต่อวัน) เริ่มเปิดใช้งานเต็มรูปแบบตั้งแต่ 1H63 โดยท่อส่งน้ำมันสามเส้นดังกล่าวประกอบด้วย EPIC ขนาด 900KBD, Cactus II ขนาด 670KBD, และ Gray Oak ขนาด 900KBD โดยรวมแล้วฝ่ายวิจัยฯ คาดราคาน้ำมันดิบ (ดูไบ) เฉลี่ยปี 2563 จะอยู่ที่ราว 61 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล (ลดลงจากปีนี้ที่คาดไว้ 63 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล)

2) แนวโน้มตลาดโรงกลั่นน้ำมัน ปี 2563: ฝ่ายวิจัยฯมีมุมมองบวกต่อธุรกิจโรงกลั่นฯของไทย เนื่องจากนโยบายขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ IMO (International Maritime Organization) ที่จะจำกัดเพดานส่วนผสมของกำมะถันในน้ำมันเตาที่ใช้ในธุรกิจเดินเรือไว้ที่ 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นไป ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดีเซลในธุรกิจเดินเรือปี 2563 คาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.1MBD จาก 1.1MBD ในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯจึง Spread ของน้ำมันดีเซลปี 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล จากเฉลี่ยปี 2562 ที่ 14 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ทั้งนี้โรงกลั่นฯในประเทศไทย ถูกออกแบบมาให้มีสัดส่วนผลผลิตน้ำมันดีเซลสูงที่สุด ซึ่งหมายความว่า spread น้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ GRM ของโรงกลั่นไทยเพิ่มขึ้น แม้ว่า spread ของน้ำมันเตาจะร่วงแรงก็ตาม

อย่างไรก็ตาม spread ของน้ำมันดีเซลในปัจจุบันอยู่ในระดับปกติที่ 12-15 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล โดยยังไม่ได้ขยับไปถึงสมมติฐานของเราที่ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล เพราะนโยบายของ IMO ยังไม่เริ่มบังคับใช้จนกว่าจะถึงกำหนดวันที่ 1 ม.ค. 2563 นอกจากนี้ การที่ spread ของน้ำมันดีเซลจะขยับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอาจจะล่าช้าไปประมาณหนึ่งเดือนจนถึงกลาง 1Q63 เนื่องจากมีโอกาสที่เทรดเดอร์จะทำการตุนสต็อกน้ำมันไว้ในระดับสูงเพื่อเก็งกำไรช่วงต้นปี

3) แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และถ่านหิน: ฝ่ายวิจัยฯมีมุมมองที่เป็นลบต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทั้ง Olefins, Aromatics, Polyester-chain เนื่องจากคาดจะถูกดันจากอุปทานใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นมากในปี 2563 ในขณะเดียวกันฝ่ายวิจัยฯประเมินการที่ทางการจีนคุมเข้มการนำเข้าถ่านหิน ซึ่งจะยิ่งเข้มข้นขึ้นอีกในปี 2563 จะเป็นปัจจัยลบที่สำคัญต่อแนวโน้มราคาถ่านหินในตลาดโลก

ในมุมของกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำ "Selective buy" หุ้นในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากมีทั้งปัจจัยบวกและลบ ผสมผสานกันในกลุ่มฯ โดยในช่วงต้นปี 2563 อาจจะเก็งกำไรสั้นหุ้นพลังงานต้นน้ำ อย่าง PTTEP ที่คาดจะได้อานิสงค์จากราคาน้ำมันดิบที่มีโอกาสปรับตัวขึ้น และแนะนำ 'ซื้อสะสม' หุ้นกลุ่มโรงกลั่นฯ (TOP, ESSO, SPRC) ที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะ Turnaround ได้ในปี 2563 (ผลจากการฟื้นตัวของค่าการกลั่นของโรงกลั่นฯไทย และพ้นช่วงการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นฯครั้งใหญ่) สำหรับหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC, IVL เป็นต้น) และหุ้นกลุ่มถ่านหิน (BANPU) ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนสำหรับปี 2563 เราแนะนำหลีกเลี่ยงไปก่อน เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมฯ ยังไม่พ้นช่วงขาลง

สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2563 ผมประเมินว่าดัชนี SET index น่าจะยังเป็นลักษณะของการแกว่งตัว Sideway ใกล้เคียงปี 2562 แม้ว่า จะมีการคาดการณ์ถึงการฟื้นตัวของกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยราว 10-11% YoY เป็นราว 103 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น PE ratio ราว 15.2 เท่า (คำนวณจาก SET index วันที่ 24 ธ.ค.62) ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ถูกมากนัก และผมประเมินว่ายังมี Downside การปรับลดประมาณการฯหุ้นบางกลุ่มฯอยู่บ้าง หากแนวโน้มเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวตามคาด

อย่างไรก็ดีผมประเมินว่าตลาดหุ้นไทย ยังสามารถใช้กลยุทธ์การ Selective buy ได้ โดยประเมินหุ้นที่มีโอกาสฟื้นตัวในปี 2563 นอกเหนือจากหุ้นกลุ่มโรงกลั่นฯ ได้แก่ หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, HANA) โดยฝ่ายวิจัยฯ บล. เคจีไอ (ไต้หวัน) คาดพ้นวัฏจักรขาลงแล้ว และจะเริ่มเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นอีกครั้ง หนุนโดยเทคโนโลยี 5G ... สุดท้ายนี้ ผมขอสวัสดีปีใหม่ ท่านผู้อ่านทุกท่านล่วงหน้า และขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนตลอดปี 2563