อย่าให้แผ่นดินลุกเป็นไฟเพราะแก้รัฐธรรมนูญ

อย่าให้แผ่นดินลุกเป็นไฟเพราะแก้รัฐธรรมนูญ

ขอเรียนก่อนว่าผมเขียนบทความนี้เป็นความคิดเห็นเฉพาะตัวโดยแท้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2560 ผ่านการทำประชามติ

ด้วยคะแนนเสียงของประชาชนทั้งประเทศเกือบ 70% มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้บังคับใช้เป็นกฎหมายสูงสุดเมื่อวันที่ 6 เม.ย.2560 ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญของประชาชนส่วนใหญ่มีการจัดพิธีเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับ 2 ครั้ง 2 คราในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยการยิงสลุตปืนใหญ่ 21 นัด มีการลั่นกลองฆ้องของวัดวาอารามทั่วประเทศ ล่าสุดเพิ่งมีการแจกจ่าย “เจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญรายมาตรา” ออกสู่สาธารณะเพื่อความเข้าใจที่มาที่ไปและวัตถุประสงค์ของการยกร่างในแต่เรื่องแต่ละมาตราอย่างละเอียดชัดเจน

มาวันนี้มีบุคคลที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งเพราะประกาศจะแก้รัฐธรรมนูญ และบุคคลจำนวนมากที่มีอคติกับรัฐธรรมนุญฉบับนี้ อันเกิดด้วย “อัตตา” การถือตนว่าเหนือกว่าเก่งกล้าสามารถกว่ากรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ คสช. ตั้งขึ้น มุ่งจะยกเลิกโค่นล้มเพียงเพราะความไม่ชอบใจอันเกิดจากความ รัก โลภ โกรธ หลง และมีนัยแอบแฝงจากบางคนว่า ต้องการดึงเอาอำนาจของปวงชนทั้งมวลกลับไปสู่อำนาจตัดสินใจของตนเอง ด้วยการอ้างประชาชนเป็น “ตัวประกัน” อีกเช่นเคย เพราะการอ้างจะเลือกเอาประชาชนทุกหมู่เหล่ามาเป็นตัวแทนด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ “ให้มี สสร. เป็นคณะกรรมการยกร่าง ถือเป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะผู้เขียนได้ผ่านประสบการณ์ที่ยากต่อการยอมรับได้มาในครั้งการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่มีการตั้ง สสร. ขึ้นมาแต่ในที่สุด คนจำนวนหนึ่งสามารถแหกกฎกติการวมกลุ่มจัดตั้งเอาบุคคลที่มีอำนาจอิทธิพลเข้าสู่ตำแหน่ง ทั้งที่มีหลักฐานความไม่ชอบมาพากล ผมไปร้องเรียนด้วยตนเองแต่ผู้มีอำนาจในขณะนั้นก็เมินเฉยไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ด้วยต้องการให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบราบรื่นให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว

ในฐานะคนที่มีส่วนในการร่างกฎหมายสูงสุดฉบับปัจจุบันและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกหลายฉบับ ใครจะว่ามีความลำเอียงหรือเขียนบทความเพื่อพิทักษ์ปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ไม่ปฎิเสธเพราะนั่นเป็นหน้าที่หนึ่งอันสำคัญของปวงชนชาวไทยทุกคน แต่ที่จำเป็นต้องออกมาปกป้องซึ่งอาจดูเปลืองตัวเช่นนี้ เพราะ “ไม่เห็นผิดเป็นขอบ” ไม่เห็นแก่ยศถาบรรดาศักดิ์ กล้าจะปฎิเสธและประกาศให้ทุกฝ่ายรู้กันชัดเจนว่าไม่ประสงค์จะเข้าไปร่วมในการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตนเองมีส่วนร่วมร่างมาตั้งแต่ต้น ที่สอบถามกันมา เพราะรู้สึกอับอายหากจะมีคนค่อนแคะว่า เราอาจทำตัวเหมือนเด็กที่ส่งการบ้านหรือข้อสอบให้อาจารย์ตรวจแล้วมานึกได้ว่ามีข้อผิดพลาดจะขอกลับไปแก้ไขให้เกรดหรือคะแนนดีขึ้น ถ้าทำเช่นนั้นย่อมไม่ต่างกับการโกหกหลอกลวงประชาชนที่ให้เกียรติพวกเราในการผ่านร่างประชามตินี้ออกมาเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้

ได้แต่ “สงสารและแผ่เมตตา” ไปยังคนที่ “พากันออกมาร้องห่มร้องไห้” เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติ รวมทั้งคนที่เอารัฐธรรมนูญฉบับเต็มที่เขาร่างด้วยวิธีใดไม่มีใครทราบ นำมามอบให้ผมในขณะที่ผมเป็นโฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งที่เรายังร่างไปได้เพียงครึ่งเดียว ไม่ใช่เพราะเราอืดอาดล่าช้า แต่กว่าเราจะเขียนจะกำหนดสิ่งใดลงไปต้องศึกษาหาความรู้ต้องไต่ถามและให้แน่ใจว่านั้น คือสิ่งที่ดีที่สุดที่สติปัญญาพวกเราจะสามารถคิดอ่านได้ แต่วันนี้เห็นลางๆ ว่ามีบางคนอาศัยช่องทางทางการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าจะมองว่า ยังเกาะติดกับอุดมการณ์ความเชื่อเลยเดินให้สุดซอยก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าใครจะช่วยถามข้อความจริงว่าเป็นเช่นนั้นดังที่ผมมองโลกในแง่บวกจริงแท้ หรือเป็นด้วยความเคียดแค้นชิงชัง หมั่นไส้ ให้ได้รู้กันแบบตรงไปตรงมาได้ จะขอบคุณมาก เพราะสิ่งอยู่ในจิตใจของมนุษย์รู้ได้ดีที่สุดคือตัวของคนคนนั้น ย่อมยากแท้หยั่งถึงดังมหาปราชญ์สุนทรภู่จารึกไว้

แต่เอาเข้าจริงก็ไม่อยากรู้คำตอบนักเพราะรู้ไปคงไม่ก่อเกิดประโยชน์โภชน์ผลอันใด สิ่งที่น่ากังวลคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ “สื่อมวลชน” บางสายบางสำนักมากระซิบให้ทราบว่า เป้าหมายคือมุ่งไปที่ “การปลดล๊อก” หรือ การแก้มาตรา 256 ในหมวดว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ ด้วยข้ออ้างว่า ถ้าไม่ปลดล๊อกแล้วแก้ไม่ได้ ขอย้ำว่า รัฐธรรมนูญไม่มีการเขียนไว้ตรงจุดใดเลยว่า “แก้ไม่ได้” แต่แก้ยากก็เป็นสิ่งสมควรเพราะนี่คือกฎหมายสูงสุด” ใครลำบากลำบนไม่สะใจ ไม่ได้ดั่งใจเพราะรัฐธรรมนูญ นึกจะแก้จะเปลี่ยนเหมือนเสื้อกางเกงที่สวมใส่คงไม่ใช่รัฐธรรมนูญ บ้านเมืองอื่นเขามีรัฐธรรมนูญกันมาเป็นร้อยปี เขาอยู่ได้ไม่ใช่ไม่แก้ แต่เขามีกระบวนการวิธีการแก้ที่โปร่งใส ยังคงยึดโยงการมี “ส่วนร่วม” ของทุกฝ่ายเช่นที่เราบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จึงไม่มีอะไรเสียหายที่เรากำหนดให้ทุกฝ่ายต้องมี “ฉันทามติ” ครั้นทางการเมืองประสงค์จะปลดล๊อกด้วยการให้อำนาจการแก้กลับไปสู่ “การเมือง” ด้วยการอ้าง สสร หรือ ประชาชนซึ่งมันคือการเมืองวันยังค่ำเพราะการเมืองจะสามารถแทรกแซงกระบวนการต่างๆ ได้ บางคนอาจต้องการรีบแก้เพราะอาจแก้กันไปถึงเปลี่ยนเกณฑ์กติกาเงื่อนไขในการยุบพรรคตัดสินโทษนักการเมือง ไปกันให้สุดซอยแบบนี้ แผ่นดินจะลุกเป็นไฟอีกครั้งอย่างแน่นอน