บาลานซ์อำนาจ 'พปชร.' เกลี่ยดุลทุกสาย ขึ้นตรง 'บิ๊กป้อม'

บาลานซ์อำนาจ 'พปชร.' เกลี่ยดุลทุกสาย ขึ้นตรง 'บิ๊กป้อม'

ดูเหมือนสถานการณ์ใน “พรรคพลังประชารัฐ” ที่มี บิ๊กป้อม “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ประธานยุทธศาสตร์พรรค คอยขับเคลื่อนดูจะสงบลงไปชั่วขณะ

 หลังผ่านการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 62 จะมีก็เพียงการเติมทีม เสริมทัพ กรรมการบริหารพรรค เท่านั้น โดยเป็นการเวทสัดส่วนให้ 4 กลุ่มหลักในพรรค ได้แก่ กลุ่มสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่มี “อุตตม สาวนายน-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” กลุ่ม “สามมิตร” นำโดย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สมศักดิ์ เทพสุทิน กลุ่ม “วิรัช-เสี่ยเฮ้ง” นำโดย “วิรัช รัตนเศรษฐ-สุชาติ ชมกลิ่น” และ ก๊วนธรรมนัส” นำโดย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” 

แบบที่ไร้วาระการเปลี่ยนม้ากลางศึก ในตำแหน่งสำคัญอย่าง “เลขาธิการพรรค” จาก สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ไปเป็น อนุชา นาคาศัย 

ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่มีกระแสข่าวเช่นนี้ออกมา ถ้าจำกันได้ ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าจะเปลี่ยนตัวทั้ง หัวหน้าพรรค จาก “อุตตม” เป็น ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ส่วน “เลขาฯ” จะเป็น ณัฏฐพล ทีปสุวรรณแทน

แต่จนแล้วจนรอด ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่ข่าว แม้คนวงในต่างรับรู้กันดีว่า บิ๊กบางคนไม่ปลื้ม ใจอยากจะเปลี่ยนตัวแค่ไหนก็ทำได้แค่กัดฟันทนต่อไป 

ขืนดึงดัน ไม่สนใคร ผลร้ายจะตกอยู่กับพรรค แรงกระเพื่อมภายในที่มีอยู่จะยิ่งยากจะคุมอยู่

ดังนั้น วิธีการที่เหมาะในการควบคุมคน ในสายบังคับบัญชา ที่ไม่ลงรอยกัน การกระจายดุลอำนาจให้กับกลุ่มหลัก ซึ่งต่างมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญตามความถนัดในงานแต่ละด้าน ซึ่งพรรคจำเป็นต้องอาศัยคนทุกกลุ่ม โดยทุกกลุ่มต้องขึ้นตรงที่คนคนเดียว นี่อาจเป็นวิธีการที่ “บิ๊กป้อม” เลือก เพราะคิดว่าเหมาะกับสถานการณ์ในพรรคที่สุด

แม้จะรู้ดีว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ถูกกันเท่าใดนัก จึงต้อง บาลานซ์อำนาจ คุมไม่ให้กลุ่มใดมีพาวเวอร์มากกว่าอีกกลุ่ม กำหนดให้มีขนาดไล่เลี่ยกัน และเปิดช่องให้ทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงตัว ประธานยุทธศาสตร์ได้ถ้วนหน้า เหมือนมีช่องทางให้ได้ระบายความอึดอัดคับข้องใจ

แม้หลายครั้งจะเป็นในทำนองพูดเรื่องที่ตัวเองไม่พอใจอีกกลุ่มเสียมากกว่า 

แต่สิ่งสำคัญคือคนเป็น ผู้นำต้องไม่หูเบา และต้องยุติธรรมว่าไปตามผลงาน ดูไปตามเนื้อผ้า ไม่ใช่เลือกคนเก่งเสนอหน้า พวกที่อวดอ้าง ความใกล้ชิด หรือพวกที่ขายฝันไปวันๆ แบบลมๆ แล้งๆ

โดย... ซาไก