10 เมกะเทรนด์สำหรับ 5 ปีข้างหน้า

ซึ่งช่วงเวลานี้เองสำหรับองค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆก็จะคิดถึงแผนงานสำหรับปีถัดไป หรือพวกเราบางคนก็มักจะวางแผนสำหรับปีหน้าหรือกำหนดเป้าหมายประจำปีให้กับตัวเอง วันนี้ผมเลยอยากหยิบยกเรื่องราวของกระแสหลักหรือเมกะเทรนด์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยผมสรุปมาจากรายงานวิสัยทัศน์อุตสาหกรรมโลก(Global Industry Vision หรือ GIV) ของบริษัทหัวเหว่ย ซึ่งได้ทำการรวบรวมจากข้อมูลเชิงปริมาณของหัวเว่ยและกรณีการใช้งานจริงของเทคโนโลยีอัจฉริยะในอุตสาหกรรมทุกประเภท

โดยรายงานฉบับนี้ได้สรุปและคาดการณ์ถึงเทรนด์ด้านเทคโนโลยีจนถึงปี 2568 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึงอัตราของการเข้าถึงของเทคโนโลยี 5G, การใช้งาน AI (ปัญญาประดิษฐ์), การใช้งานหุ่นยนต์ในบ้าน ตลอดจนการใช้ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ (Smart Assistant) ไว้รวม 10 เทรนด์ด้วยกันคือ

1. เราจะใช้ชีวิตร่วมกับหุ่นยนต์มากขึ้น (Living with Bots) โดยหุ่นยนต์จะเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นถึงร้อยละ 14 ในอีก 5ปีข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ที่เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วย (Nursing bot) หุ่นยนต์ที่เป็นเหมือนเพื่อนของเราหรือของลูกเรา (Companion Bot) หุ่นยนต์ที่มาช่วยงานบ้าน 9 Butler Bot) และหุ่นยนต์ที่เข้ามาเป็นส่วนประกอบหนึ่งของร่างกายเรา เช่นแว่นตา ไปจนถึงแขนขาหรืออวัยวะเทียม (Bionic Bot)
2. เราจะมองเห็นได้มากกว่าสายตาปรกติ (Super Sight) ด้วยการผนวกรวมของเทคโนโลยีอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็น 5G AR VR machine Learning จะช่วยทำให้เราเพิ่มมุมมองของการมองเห็นได้ไกลกว่าหรือลึกกว่าที่ตาธรรมดาของเราจะมองเห็นได้ เช่น มองเห็นพื้นที่ที่ฝังอยู่ใต้ดินหรือสร้างผลิตภัณฑ์ที่เคยคงอยู่แต่ในอดีตเช่นการจำลองวัตถุทางศิลปะที่เคยดำรงอยู่ในอดีต เป็นต้น
3. เราจะลดขั้นตอนการค้นหา (Zero Search) เครื่องใช้หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีสมองกลและสามารถเชื่อมโยงหรือสื่อสารถึงกันได้จะช่วยทำการค้นหาและประเมินผลจากพฤติกรรมของเราและคาดการณ์ความต้องการของเรา ทำให้เราไม่จำเป็นต้องกดปุ่มค้นหาหรือโทรสั่งหรือเลือกของผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ต่าง ๆ

ที่มีอยู่มากมายให้กับเรา

1. เราจะสามารถเดินทางได้โดยเสมือนมีเส้นทางที่ออกแบบมาเพื่อตัวเรา(tailor Streets) ด้วยโครงข่ายของการจราจรและเครือข่ายข้อมูลที่จะช่วยประมวลผลจะช่วยทำให้การเดินทางมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นรถพยาบาล หรือการกำหนดเส้นทางการเดินทาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการจราจรและการเดินทางทั้งเพื่อส่วนตัวและเชิงพาณิขย์
2. เราจะทำงานร่วมกับหุ่นยนต์มากขึ้น (Working with Bot) หัวเหว่ยคาดการณ์ว่าเราจะทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ที่ 103 เครื่องต่อพนักงาน 10,000 คน โดยหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัตินี้จะช่วยลดงานที่ซ้ำซากจำเจ งานที่ก่อให้เกิคอันตรายหรือเพิ่มความแม่นยำให้กับงานได้มากขึ้น
3. เราสามารถต่อยอดการทำงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายขึ้น (Augmented Creativity) ด้วยเทคโนโลยี AI Cloud จะช่วยทำให้การทำงานที่เกี่ยวข้องกับการทดลองวิทยาศาสตร์ การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่หรืองานศิลปะที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ จากมนุษย์เป็นไปได้ดียิ่งขึ้น โดยการช่วยเหลือหรือแต่งเติมจากเทคโนโลยีและฐานข้อมูล
4. เราสามารถสื่อสารถึงกันได้สะดวกขึ้น (Frictionless Communication) ในอีก 5 ปีข้างหน้าอุปสรรคจากความแตกต่างด้านภาษา ระยะทาง จะถูกทำลายลงด้วยเทคโนโลยี ทำให้เราสามารถติดต่อซื้อขาย ตกลงเจรจา หรือปรึกษาหารือได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. เราจะทำงานภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบอยู่ร่วมกันมากขึ้น (Symbiotic Economy) จากการที่บริษัทต่าง ๆที่พัฒนาการทำงานบนแพลตฟอร์มและนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ผ่านระบบแพลตฟอร์ม รวมถึงการใช้ระบบ cloud จะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประสานงาน การแบ่งปันข้อมูล และร่วมมือกันซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพและต้นทุนที่ดีขึ้น
6. เราจะอยู่ในโลกของการสื่อสารผ่านระบบ 5G (5G rapid rollout) เทคโนโลยี 5G และการเข้าถึงอย่างรวดเร็วของเครือข่ายดังกล่าว จะส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิต การสื่อสาร การทำงาน ระบบครอบครัว การศึกษาต่าง ๆ โดยหัวเหว่ยคาดว่า เทคโนโลยีดังกล่าวจะเข้าถึงร้อยละ 58 ของประชากรทั่วโลก
7. การกำกับดูแลด้านดิจิตอลระดับโลก (Global Digital Governance) จากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของความต้องการใช้ระบบข้อมูลต่างซึ่งจะทำให้ต้องเริ่มมีการกำกับดูแลหรือกำหนดจรรยาบรรณด้านดิจิตอลเกิดขึ้นเพื่อความยั่งยืนและการอยู่ร่วมกัน

ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยทำให้ท่านผู้อ่านมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิด ซึ่งจะช่วยทำให้เราปรับตัวหรือเตรียมพร้อมทั้งด้านธุรกิจและส่วนตัวเพื่อเป็นการรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ได้ดีขึ้น ท้ายสุดนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขและโชคดีครับ