VI บูรณาการ

VI บูรณาการ

คนที่เป็น VI “พันธุ์แท้” และเป็นมานานนั้น  ผมเชื่อว่าในที่สุดเขาก็จะขยายแนวความคิดและปรัชญาแบบ VI ออกไปจนครอบคลุมถึงทุกเรื่องในชีวิต 

มุมมองต่อสังคม  ประเทศ และโลก   และดังนั้น  พวกเขาก็จะมีหลาย ๆ  สิ่งหลาย ๆ  อย่างที่คล้ายคลึงกันไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก  นี่ก็คงเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองชอบสไตล์การใช้ชีวิตและมุมมองในหลาย ๆ ด้านของวอเร็น บัฟเฟตต์ซึ่งเป็น VI พันธุ์แท้และเป็นไอดอลของผมและของ VI ทั่วโลก   ผมคิดว่าการเป็น VI นั้นไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือในธุรกิจอื่น ๆ ที่เป็นเรื่องของการเงินเท่านั้น   แต่ VI เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตในทุกด้านทั้งทางด้านของร่างกาย  จิตใจและมโนธรรมของเรา

หลักการที่เป็นหัวใจของ VI ที่เรารู้จักและเข้าใจกันก็คือเรื่องของการเงินที่เราจะเลือกการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามาก ๆ  นั่นคือ  ลงทุนน้อยแต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติและมีความปลอดภัยหรือมี Margin Of Safety สูง  ไม่ลงทุนหรือทำอะไรที่สุ่มเสี่ยง  วิธีการสำคัญก็คือ  จะต้องวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งว่ากิจการนั้นเป็นกิจการที่ดีในระยะยาวนั่นคือ  มีความมั่นคง  มีกำไรที่ดี  มีอนาคตที่ดี  และสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกหรือยุติธรรม  นี่คือการเลือกหุ้นรายตัว  แต่ใน “ภาพใหญ่” นั้น  เราจะต้องลดความเสี่ยงโดยการกระจายการถือครองหลักทรัพย์ให้มากพอที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือการที่เราคิดหรือคาดการณ์ผิดด้วย  ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะสร้าง  “สุขภาพที่ดีทางการเงิน” ให้กับตัวเรา  ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของการทำให้เรารวยหรือได้ผลตอบแทนที่ดีเลิศอย่างรวดเร็ว  แต่เป็นผลตอบแทนที่ดีและ  “ไม่เสี่ยง”  และเรา  “สบายใจ”  กับกระบวนการลงทุนของเราไปเรื่อย ๆ  หรือพูดง่าย ๆ  “มีความสุขจากการลงทุน” ตลอดเวลา

 ถ้าจะพูดต่อไปก็คือ VI ก็จะต้องถามตนเองว่า  เมื่อได้เงินจากผลตอบแทนที่ดีแล้ว  เราจะใช้เงินอย่างไรให้ “คุ้มค่า”  นั่นก็คือ  “ใช้เงินน้อยแต่มีความสุขมาก”  นี่ก็คือหลักการแบบเดียวกับเรื่องของการลงทุน  คือใช้น้อยหรือลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนหรือความสุขมากกว่าปกติ  โดยวิธีการก็คือต้องศึกษาและวิเคราะห์ดูว่าสิ่งที่เราใช้นั้นตอบสนองกับอารมณ์ความคิดของเราอย่างไร  โดยที่เราต้องเข้าใจจิตวิทยาของคนซึ่งรวมถึงตัวเราว่าเป็นอย่างไร  บ่อยครั้งเราถูก “ชักนำ” โดยเพื่อนฝูงและสังคมให้ต้องทำหรือมีสิ่งต่าง ๆ  เพื่อ  “ไม่ให้น้อยหน้า” ซึ่งจะทำให้เราต้องใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลและไม่มีความสุขจริง ๆ   หรือมีความสุขแค่ชั่วครู่แต่กลับไม่มีความสุขหรือรู้สึกทุกข์ใจในภายหลัง  ดังนั้น  VI จะต้องเรียนรู้ว่าจะใช้เงินอย่างไร  ความเข้าใจในเรื่องของความสุขนั้น  ในปัจจุบันก็ดูเหมือนว่าจะมีมากขึ้นมาก  ตัวอย่างเช่น  มีการศึกษาที่สรุปว่าการ “ซื้อประสบการณ์” เช่น  การท่องเที่ยวนั้น  มีความสุขมากกว่าการซื้อของ  เป็นต้น

  “ความสุข”  นั้น  แท้ที่จริงแล้วก็ควรเป็นวัตถุประสงค์สุดท้ายของ VI จริง ๆ  มากกว่าเรื่องของความมั่งคั่งหรือเงิน  นี่ก็เป็นเรื่องของจิตวิทยาอีกเช่นกันที่คนมักจะไม่คิดแสวงหา “ความสุข” เท่ากับการ “หาเงิน”  คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าความสุขเป็นนามธรรมและไม่รู้ว่าจะไปหาเพิ่มจากที่ไหน  แต่เงินนั้นเป็นสิ่งที่จับต้องได้  เวลามีเงินเพิ่มนั้นเรารู้และจับต้องได้จริง  ดังนั้น  เราหาเงิน  แล้วค่อยเอาเงินนั้นไปหาความสุข  แต่จริง ๆ  แล้วบ่อยครั้งเราสามารถหาความสุขได้เลยโดยไม่ต้องใช้เงิน  อย่างไรก็ตาม  คนส่วนใหญ่ก็ยังคิดว่า  ถ้าไม่มีเงินก็มักจะไม่ค่อยมีความสุข  เพราะเวลาเงินน้อยหรือเงินขาดซึ่งทำให้เราไม่สามารถมีหรือใช้จ่ายเพื่อซื้อสิ่งของอย่างสะดวกสบายแล้ว  เราก็มักจะรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจโดยเฉพาะในกรณีที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยรุนแรงที่ต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก

 ผมเองคิดว่าเงินนั้นมีความจำเป็นแน่นอนในสังคมปัจจุบัน  คนที่จะหาความสุขโดยไม่ต้องใช้เงินนั้นผมคิดว่าเป็นไปได้   แต่ในชีวิตของคนเรานั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้  ถ้าหากไม่มีเงินหรือมีไม่พอ   ความทุกข์ของเราก็จะมากขึ้น  ซึ่งนั่นก็จะทำลายความสุขหรือทำให้เราแสวงหาความสุขได้ยากขึ้น  แต่เงินที่มากเกินกว่าความจำเป็นนั้นก็ไม่สามารถที่จะใช้ซื้อความสุขเพิ่มขึ้นได้  ดังนั้น  สิ่งที่ควรทำก็คือ  หาเงินให้มากขึ้นโดยที่ต้องทำโดยไม่ก่อให้เกิดทุกข์  ยิ่งเป็นการหาเงินที่มีความสุขเช่นการทำงานที่เราชอบก็ยิ่งดี  แต่ต้องพยายามแยกแยะว่าเงินที่ได้มานั้นจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นถึงจุดหนึ่งเท่านั้น  เงินที่มากไปกว่านั้นมักจะก่อให้เกิดความสุขเพิ่มขึ้นน้อยมาก  ความสุขที่จะมากขึ้นนั้นจะอยู่ที่ใจและ “กาย” หรือร่างกายเรา  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือจิตใจที่ “ปล่อยวาง” และร่างกายที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บนั้น  น่าจะเป็นบ่อเกิดของความสุขได้มากที่สุด

ทั้งจิตใจที่ปล่อยวางและร่างกายที่แข็งแรงนั้น  เกือบทั้งหมดหาซื้อด้วยเงินไม่ได้  เรื่องของจิตใจนั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็น่าจะมาจากความสัมพันธ์ที่ดีที่เรามีต่อคนอื่นโดยเฉพาะคนใกล้ชิด เช่น ครอบครัวและเพื่อนสนิท  นอกจากนั้นน่าจะมาจากการอดทนและ “เปิดกว้าง” ต่อความคิดและการกระทำของคนอื่น  การ “ยึดมั่นถือมั่น” ในความคิดของตนเองนั้นเป็นบ่อเกิดของทุกข์ที่สำคัญ  ในส่วนของร่างกายนั้น  ปัจจุบันก็มีการศึกษามากมายที่แนะนำวิธีที่จะรักษาร่างกายให้แข็งแรงและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บที่รุนแรงและมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างเป็นสุขซึ่งแทบทั้งหมดนั้นไม่ต้องใช้เงินมากเลย  แต่ก็เป็นเรื่องที่มักทำได้ยากสำหรับคนจำนวนมาก  คนที่เป็น VI จะต้องเรียนรู้และนำมาปฏิบัติ  และถือเป็นงานที่สำคัญไม่แพ้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แบบ VI  โดยเฉพาะคนสูงอายุ

 หลักการการรักษาสุขภาพทางร่างกายนั้น  ก็เช่นเดียวกับหลักการลงทุนแบบ VI ไม่ได้มีสูตรตายตัวทุกปัจจัย  หลาย ๆ  เรื่องนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาหรือตามการศึกษาใหม่ ๆ  อย่างไรก็ตาม  มีปัจจัยสำคัญบางอย่างที่ผมคิดว่ามันส่งผลดีหรือได้ผลชัดเจนมาตลอดกาลซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องยึดไว้เสมอ  ตัวอย่างเช่น  ในเรื่องของการลงทุนในหลักทรัพย์นั้น  ราคาหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ “ถูก” เป็นหลักการที่ไม่เคยเปลี่ยนและมันทำให้การลงทุนของเราดีเสมอ  ในส่วนของสุขภาพนั้น  ผมคิดว่าไม่มีอะไรดีและแน่นอนยิ่งไปกว่าการ “ออกกำลัง” อย่างสม่ำเสมอและการ “ควบคุมน้ำหนักตัว” ไม่ให้อ้วนเกินไปก็เป็นสิ่งที่ดีอย่างไม่มีข้อสงสัย

  เรื่องของมโนธรรมหรือจรรยาบรรณและการปฏิบัติโดยชอบต่อสังคมและคนอื่นนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิดว่าเราจะต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด  นี่จะเป็นเครื่องรับประกันว่าเราจะมีชีวิตที่ดีและมีความสุขได้ตลอดไป  เหตุผลก็คือ  สิ่งเหล่านี้ถ้าเราทำผิดและถูกจับได้แม้แต่เพียงครั้งเดียว  มันก็อาจจะทำลายชีวิตและความสุขของเราไปอีกนาน  มันไม่เหมือนกับเรื่องอื่นเช่น  การขาดทุนหนักในการลงทุนหรือการปล่อยให้ร่างกายอ่อนแอในบางช่วงที่เราสามารถกลับมา  “แก้ตัว”  ได้ง่ายกว่ามาก  ดังนั้น  ก่อนที่จะทำอะไรที่อาจจะส่งผลให้เราอาจจะถูกกล่าวหาได้ว่าขาดมโนธรรมหรือจรรยาบรรณ  เราควรจะต้องคิดหรือหลีกเลี่ยงเสียแม้ว่านั่นอาจจะทำให้เราพลาดการได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างง่าย ๆ ได้

 ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ  การเป็น VI ที่สมบูรณ์นั้น  เราจะต้องเป็นแบบ “บูรณาการ” นั่นก็คือ  คิดและทำทุกเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตที่วัดด้วยความสุข “แบบ VI” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงิน  ร่างกาย  จิตใจ  และมโนธรรม  ทุกอย่างนั้นจะหลอมเข้าด้วยกันไม่มีความแตกแยก  ตัวอย่างเช่น  ร่างกายที่แย่นั้นจะทำให้ส่วนอื่น ๆ  ไม่สามารถเจริญงอกงามได้  เช่นเดียวกัน  จิตใจที่เป็นทุกข์ก็จะส่งผลต่อเรื่องอื่น ๆ  รวมถึงร่างกายด้วย  หรือความมั่งคั่งที่มีน้อยนิดเกินไปนั้นก็จะทำให้ขาดความสุขในหลาย ๆ  ด้าน  การทุ่มเทเพียงอย่างเดียวจนเป็นเลิศแล้วปล่อยให้ด้านอื่นอ่อนด้อยไม่ใช่สิ่งที่ดี  ตัวอย่างเช่นลงทุนจนมีเงินมากมายแต่สุขภาพทรุดโทรมชีวิตก็จะไม่มีความสุข เป็นต้น  คำพูดสุดท้ายก็คือ  “VI ต้องลงทุนในทุกด้านที่สำคัญอย่างบูรณาการ” แล้วชีวิตจะมีความสุขอย่างแท้จริง