นวัตกรรมการเกษตรของอินเดีย
ความคิดริเริ่ม ความสามารถในการสร้างซอฟท์แวร์โปรแกรมตลอดจนความสามารถอื่น ๆ ในด้านไอทีเป็นหัวใจของ start-up ที่กำลังเขย่าโลกอยู่ในทุกวันนี้
ในอินเดียมี start-up ด้านการเกษตรหลายเรื่องที่น่าสนใจเพราะมีผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของเกษตรกรซึ่งมีอยู่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 43 ของประชากร 1,300 ล้านคน
ปัญหาของเกษตรกรอินเดียไม่ต่างไปจากอีกหลายประเทศกำลังพัฒนานั่นก็คือมีผลผลิตต่ำอันเนื่องมาจากผลิตภาพ (productivity) หรือผลผลิตต่อหนึ่งหน่วยปัจจัยการผลิตไม่ว่าจะเป็นแรงงานหรือที่ดินต่ำ
ผลิตภาพด้านเกษตรของอินเดียต่ำกว่าไทย อินโดนีเซีย จีน เวียดนาม แม้แต่สินค้าสำคัญ ๆ ของอินเดีย เช่น ข้าว และนมก็อยู่ในระดับต่ำ บางตัวต่ำกว่าตัวเลขเฉลี่ยของโลกด้วยซ้ำ
รัฐบาลอินเดียสนับสนุน start-up ที่เกี่ยวกับนวตกรรมด้านการเกษตรอย่างมากเพื่อแก้ปัญหาผลิตภาพ ในปี 2019 start-up ด้านเทคโนโลยีนี้พุ่งสูงขึ้นร้อยละ 25 จนมีจำนวนถึง 450 แห่ง มีเงินทุนเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว จนถึงยอด 248 ล้านเหรียญสหรัฐ (7,500 ล้านบาท)
ในด้านการเลี้ยงโคนม start-up แห่งหนึ่งของอินเดียที่มีชื่อว่า Stellapps Technologies คิดค้นวิธีเพิ่มผลผลิตของวัวนมอย่างสำคัญ บริษัทนี้ตั้งในปี 2011 โดยมี 5 บริษัทโทรคมนาคมในเมือง บังกาลอร์ร่วมลงทุน บริษัทมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในทุกขั้นตอนของอุตสาหกรรมนี้ผ่านการใช้ sensors และข้อมูล แม้แต่ Bill & Melinda Gates Foundation ก็ร่วมลงทุนด้วย
Stellapps ประดิษฐ์เครื่องมือที่มีชื่อว่า mooOn ซึ่งทำหน้าที่คล้ายนาฬิกาสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในสังคมขณะนี้ มันบอกจำนวนก้าวที่เดิน อัตราการเต้นของหัวใจ จำนวนชั่วโมงที่นอนหลับสนิท ตลอดจนข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพ แต่แทนที่เครื่องมือเช่นนี้จะอยู่ที่มือคนหากเป็น mooOn ไปผูกไว้กับขาของแม่วัว เพื่อติดตามสุขภาพของแม่วัวเพื่อการผสมพันธุ์ให้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด อีกทั้งเพื่อป้องกันการเจ็บไข้ของแม่วัวอีกด้วย
วัวนั้นเป็นสัตว์ประเสริฐที่มีคุณประโยชน์แก่มนุษย์อย่างยิ่ง ทุกส่วนของวัวไม่ว่าเขา หนัง เนื้อ กระดูก รับใช้มนุษย์ได้หมดทั้งสิ้น มีหลักฐานว่ามนุษย์นำวัวมาเลี้ยงตั้งแต่เมื่อ 12,000 ปีก่อนเพื่อกินเนื้อ แต่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านผลิตภัณฑ์จากนมเมื่อ 7,000 ปีก่อนคริสตกาล และกลายเป็นอาหารสำคัญของมนุษย์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
หากแม่วัวจะมีน้ำนมให้คนเอาไปใช้ประโยชน์ได้นั้นมันต้องท้อง คลอดลูกและมีน้ำนมให้ลูก (แต่คนแย่งเอามากิน) ปกติแม่วัวจะมีไข่สุกทุก 21 วัน หากได้รับการผสมก็จะท้องประมาณ 283 วัน หรือ 9.5 เดือน หากจะมีลูกอีกชุดหนึ่งก็ต้องพักร่างกายประมาณ 60 วัน ดังนั้นปีหนึ่งมันจึงให้ลูกได้เพียงชุดเดียว (ให้ลูกได้ครั้งแรกเมื่ออายุ 2 ปี)ซึ่งก็คือตัวเดียว หากเป็นพันธ์ดีและดูแลดี เฉลี่ยจะให้นมปีละ 300 วัน
ในประเทศพัฒนาแล้วปีหนึ่งแม่วัวให้นมเฉลี่ย 12,000 ลิตรต่อตัว เนื่องจากรู้จังหวะไข่สุกที่จะผสมเทียมแม่วัวและให้พัก 2 เดือน ในขณะที่ในอินเดียมีผลผลิตเพียง 1,200 ลิตรต่อตัวต่อปีเนื่องจากไม่รู้จังหวะที่จะผสมเทียมอย่างได้ผล ดังนั้นเวลาพักของแม่วัวจึงยาว 6-7 เดือนส่งผลให้มีน้ำนมต่อตัวต่ำ
mooOn จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพให้คอมพิวเตอร์วิเคราะห์ว่าตอนใดที่แม่วัวมีไข่สุกเหมาะสมที่สุดต่อการผสมเทียมสัญญาณนี้จะส่งไปยังสัตว์แพทย์ของหมู่บ้านที่ลงทะเบียนไว้ซึ่งมีเวลาทำงานเพียง 4-6 ชั่วโมงของช่วงไข่สุกเท่านั้น
โดยปกติชาวบ้านอินเดียใช้การสังเกตอากัปกิริยาของแม่วัวประกอบกับการมีสัดเพื่อคาดเดาว่าไข่สุกที่สุดเมื่อใดซึ่งบ่อยครั้งที่ผิด หนึ่งรอบของไข่สุกที่พลาดไปไม่ได้รับการผสมก็คือการเสียโอกาสได้ลูกวัวและนมวัว และรายได้ที่ตามมา การผสมที่ถูกจังหวะไม่พลาดคือการเพิ่มรายได้ ดังนั้น moo On จึงมีประโยชน์ต่อเกษตรกรอย่างยิ่ง
ปัจจุบันมีการใช้ mooOn 50,000 ชิ้น ซึ่งทำให้ผลิตภาพเพิ่มขึ้นร้อยละ 38 และเกษตรกรมีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าตัว รูปแบบธุรกิจคือบริษัทเก็บค่าธรรมเนียม 1 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งชิ้นต่อเดือนตลอดจนให้บริการสนับสนุนด้วย เกษตรกรก็ยินดีจ่ายเพราะตลาดนมในอินเดียนั้นใหญ่โตมากและผลิตไม่ได้เพียงพอ ในปีนี้คาดว่าคนอินเดียจะบริโภคนมวัว 69.8 ล้านตัน ซึ่งเป็น 3.2 เท่าของที่บริโภคกันในสหรัฐอเมริกาและกว่า 2 เท่าที่บริโภคกันในยุโรป
การไร้ประสิทธิภาพของการทำฟาร์มมิได้มีเพียงการเลี้ยงโคนม หากครอบคลุมไปถึงการใช้แรงงานสัตว์ในการไถนาเนื่องจากขาดเงินทุนในการซื้อรถแทร็กเตอร์ การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มผลิตภาพได้อย่างมาก ในยุคปัจจุบัน IT สามารถมีบทบาทช่วยเหลือโดยไม่ต้องใช้เงินทุนสูงมากดังเช่นการใช้ Internet of Things (IoT)
IoT คือเครือข่ายของสิ่งที่จับต้องได้ (“things”) โดยมีสิ่งประดิษฐ์ด้านอิเล็กโทรนิกส์หรือ sensors หรือวงจรไฟฟ้า หรือซอฟท์แวร์ฝังตัวอยู่ซึ่งสามารถเชื่อมต่อถึงกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเองหรือกับโอเปอเรเตอร์เพื่อการให้บริการที่เป็นประโยชน์
ระบบ wifi ชนิดที่เรียกว่า 5G ทำให้เกิด IoT ขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ระบบ5G โทรศัพท์มือถือกับ “things” เหล่านี้ติดต่อสื่อสารถึงกันได้ ตัวอย่างเช่นหากเม็ดยา("things")ที่กินเข้าไปมีวงจรขนาดเล็กมากฝังตัวอยู่ (แต่ละเม็ดมี IP address เหมือนของผู้ใช้internet) มันจะส่งสัญญาณเชื่อมต่อกับโอเปอเรเตอร์ซึ่งอาจเป็นโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ส่งออกมา (big data) จะถูกวิเคราะห์ (analytics) เพื่อส่งคำสั่งกลับไปให้มีการปล่อยตัวยาในปริมาณและตามเวลาที่จะเกิดประสิทธิภาพในการรักษาสูงที่สุด
ในอุตสาหกรรมโคนม Stellapps ติดตั้ง IoT ใน 20,000 สถานีทั่วอินเดียโดยมีเครือข่ายติดตามการผลิตนมประมาณวันละ 6 ล้านลิตรต่อวัน และคาดว่าจะถึง 30 ล้านลิตรใน 3 ปี วิธีการมีหลายแบบ เช่น IoT ช่วยคัดแบ่งคุณภาพของนม sensors ที่มีความไวสูงจะวัดปริมาณไขมัน โปรตีนในนมที่มาส่งรวมทั้งปริมาณน้ำที่เติมลงไปด้วย เมื่อเก็บไว้ในห้องเย็น IoT ก็จะติดตามระดับอุณหภูมิของห้องเย็นที่เก็บรักษานมอยู่ทั้งหมด ถ้าไฟฟ้าดับหรืออุณหภูมิขึ้นสูงก็จะมีสัญญาณเตือนออกไปทันทีถึงแต่ละสถานที่ตั้ง
ตลาดนมที่ใหญ่โตของอินเดียยังมีการผลิตที่ไม่เพียงพอเนื่องจากมีผลิตภาพในการผลิตต่ำอันเนื่องมาจากหลายปัจจัยแวดล้อมและหลายลักษณะของการขาดประสิทธิภาพในการผลิตทำให้เกิดโอกาสแก่ start-up อีกมากมายทั้งในอุตสาหกรรมนี้และการผลิตสินค้าเกษตรอีกหลากชนิด
ในบ้านเรายังมีช่องว่างของการเพิ่มผลิตภาพได้อีกมากมายทั้งในด้านการผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตร เชื่อได้ว่าขณะนี้มี start-up จำนวนมากที่กำลังคร่ำเคร่งกับการสร้างนวตกรรมด้านวิศวกรรม และ/หรือผสม IT ที่จะทำให้เกษตรกรของบ้านเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นผ่านรายได้ในระดับที่เป็นธรรมและมั่นคง
start-up เหล่านี้จำนวนไม่น้อยมิได้ต้องการการสนับสนุนด้านเงินทุนจากภาครัฐดังที่มักเข้าใจกัน หากต้องการการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน IT จากภาครัฐและความสะดวกอันเกิดจากการปลด ล็อกกฎระเบียบต่าง ๆ ของราชการที่ทำให้เขาทำงานได้ยากและในหลายกรณีทำให้หมดกำลังใจ
ทั้งสองประเด็นนี้ภาครัฐได้ทำมาไม่น้อยแต่บางเรื่องยังไม่ตรงจุด หากค้นพบ “คานงัด” ได้เมื่อใด start-up ไทยจะ take-off ได้อย่างไม่น้อยหน้าใครในโลก