2020 Global Investment Outlook

2020 Global Investment Outlook

ปัจจัยเสี่ยงกดดันการโตเศรษฐกิจโลกปีที่ผ่านมาคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน จะเริ่มผ่อนคลายลง

ฝ่ายวิจัย บล. เคจีไอ (ไต้หวัน) ออกบทวิเคราะห์ กลยุทธ์การลงทุนสำหรับปี 2563 โดยสรุปธีมการลงทุนหลักๆคือ 1) ประเมินตลาดหุ้นจะกลับมา Outperform ตลาดพันธบัตร 2) หุ้นวัฏจักร (Cyclical) จะกลับมา Outperform หุ้น Defensive 3) ตลาดหุ้นยุโรป, ญี่ปุ่น, และ Emerging markets จะ Outperform ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยมีสมมติฐานหลักคือ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว 

มุมมองเศรษฐกิจโลกปี 2563 ที่ฝ่ายวิจัยฯ ได้วิเคราะห์ไว้ในบทวิเคราะห์ฉบับนี้คือ ประเมินว่าปัจจัยเสี่ยงที่กดดันอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีที่ผ่านมาคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน จะเริ่มผ่อนคลายลงจาก ข้อตกลงทางการค้าที่คาดจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ขณะเดียวกันการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุน โดยเฉพาะทางฝั่งสหรัฐฯที่ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนค่าลงในปีหน้า ยิ่งจะเป็นตัวช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐโลก (ที่ชะลอตัวในช่วงปีที่ผ่านมา) น่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และจะเห็นการฟื้นตัวได้เล็กน้อยในปี 2563 

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้นแล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีนที่คาดว่าจะยังมีออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนในปี 2563 อย่างไรก็ดีฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าการฟื้นตัวของภาคการบริโภคในประเทศจีนเองนั้นจะไม่เร็วนัก แต่การส่งออกจะกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายหลังการปลดล๊อกสงครามการค้า ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้การขยายตัวของ GDP จีนปี 2563 อยู่ประมาณ ±6% โดยฝ่ายวิจัยฯยังประเมินแบบอนุรักษ์นิยมว่าการขยายตัวของ GDP จีนปีหน้า จะชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปี 2562 ที่ 6.1% สำหรับเศรษฐกิจของยุโรปนั้น ฝ่ายวิจัยฯมีมุมมองว่า แม้การฟื้นตัวในปีหน้าจะไม่น่าสนใจเนื่องจากปัญหาโครงสร้างประชากร แต่การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนนั้นจะเป็นอีกปัจจัยช่วยหนุนภาคการส่งออกของยุโรปอีกทาง 

เมื่อพิจารณาจากมุมมองด้านเศรษฐกิจโลกในปีหน้าแล้ว จะเห็นได้ว่า ธีมการลงทุนในปี 2563 จะเป็นลักษณะ Contrarian strategy หรือ มุ่งหาสินทรัพย์ที่ราคาถูกกดดันจากปัญหาต่างๆ ในปีที่ผ่านมาและปัญหานั้นจะลดลงในปีหน้า ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่า ตลาดหุ้นโลกจะกลับมา Outperform ตลาดพันธบัตรที่เป็นหลุมหลบภัยในปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน หุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก (Cyclical) เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน (เศรษฐกิจโลกฟื้น นำอุปสงส์น้ำมันฟื้น), ส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ (การส่งออกฟื้น หลังผ่อนคลายสงครามการค้า และการพัฒนา 5G), และ  ธนาคารพาณิชย์ (Yield curve กลับมาเป็นปกติ) เป็นต้น จะกลับมา Outperform หุ้น Defensive (เช่น หุ้นโรงไฟฟ้า, หุ้นกลุ่มสื่อสาร) ที่นักลงทุนใช้เป็นหลุมหลบภัย เช่นกัน  

หากพิจารณาตลาดหุ้นในมุมระดับภูมิภาค ฝ่ายวิจัยฯประเมินตลาดหุ้นยุโรป, ญี่ปุ่น, และ Emerging markets จะ Outperform ตลาดหุ้นสหรัฐฯในปี 2563 ซึ่งจะแตกต่างจากในปีที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง โดยฝ่ายวิจัยฯมีมุมมองว่าในช่วงต้นของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประเทศในยูโรโซน, ญี่ปุ่น, และ Emerging markets จะได้รับอานิสงส์ก่อน โดยมีผลการศึกษาอดีต อาทิ 1) Eurozone Debt crisis ช่วง 2Q56 - 1Q58 และ 2) Commodity price shocks ช่วง 2Q59 - 4Q60 เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าจะมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ตลาดหุ้นยุโรป, ญี่ปุ่น, และ Emerging markets มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย แม้ว่า Valuation ตลาดหุ้นไทยปีหน้าอาจไม่ดึงดูดใจนักลงทุนมากนัก เนื่องจาก PE ที่ค่อนข้างสูง (ราว16 เท่า) แต่หากนำมุมมองของฝ่ายวิจัยฯ บล.เคจีไอ (ไต้หวัน) มาปรับใช้ วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย ก็จะสามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้แม้ Upside ของดัชนี SET index อาจไม่มากนักก็ตาม ซึ่งใกล้เคียงกับที่ผมเคยวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ว่าปีหน้าหุ้น Laggard ที่มีโอกาส Turnaround สูง จะ Outperform ตลาดหุ้น โดยเรามีสมมติฐานว่าข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ต้องได้ข้อสรุปอย่างน้อยในเฟสแรก หุ้นในกลุ่มนี้ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะโรงกลั่น (TOP, SPRC, ESSO เป็นต้น) และหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, HANA เป็นต้น) ในทางกลับกัน หุ้น Defensive ที่เคยเป็นหลุมหลบภัยที่พักเงินของนักลงทุน และปรับตัวขึ้นแรงในปี 2562 อาทิ หุ้นโรงไฟฟ้า (GULF, GPSC, BGRIM เป็นต้น) หุ้นกลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH, DTAC เป็นต้น) กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือ กองทุนอสังหาฯ ต่างๆ อาจเผชิญแรงขายทำกำไรได้เช่นกัน