ยึดทรัพย์หยุดคอร์รัปชันไม่ได้

ยึดทรัพย์หยุดคอร์รัปชันไม่ได้

ข่าวของ ส.ส. ถือครองที่ดินผืนใหญ่ที่ตนเองไม่น่าจะมีสิทธิกลายเป็นข่าวมาตลอดในแทบทุกรัฐบาล

แม้ว่านานๆ ทีจะมีบทลงโทษ ส.ส. บางคนด้วยการยึดทรัพย์หรือให้คืนทรัพย์ แต่สัญญาณเตือนเหล่านี้ก็ไม่เคยจะแรงพอให้พวกเขาเปลี่ยนพฤติกรรมได้

ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นทำให้เกิดคำถามว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยในตำรากับประชาธิปไตยในชีวิตจริง หากว่ากันตามตำรา ประชาธิปไตยไม่มีเวทีให้กับนักการเมืองที่โกงกิน ไม่ซื่อสัตย์ ไม่รักษาสัญญา เพราะในที่สุดแล้วนักการเมืองแบบนี้จะไม่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนมากพอให้กลับเข้าไปในสภาในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป แรงกดดันของประชาชนผ่านการลงคะแนนเสียงคือการส่งสารว่าพวกเขาไม่ต้องการคนโกงเข้ามาดูแลบ้านเมือง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประเทศไทยดูเหมือนจะมีน้ำอดน้ำทนต่อการคอร์รัปชันสูงมาก นักการเมืองที่มีข่าวฉาวโฉ่ยังได้กลับไปเป็นรัฐมนตรี เพียงเพราะ “ไม่มีใบเสร็จ” จะไปเอาผิดกับเขาได้ ถึงแม้สมัยนี้จะเป็นข่าว พอถึงการเลือกตั้งรอบหน้าถ้ามี “กลยุทธ์” ที่ดีก็สามารถกลับมาได้อีก ยิ่งถ้าสามารถต่อรองกับพรรคให้ตนเองอยู่ในลำดับต้นๆ ของบัญชีรายชื่อได้ เรื่องกลับมาไม่ใช้เรื่องยากเลย

นักการเมืองที่โกงกินเป็นนักคำนวณชั้นเยี่ยม รู้จักเปรียบเทียบต้นทุนที่จะเกิดขึ้นเมื่อถูกจับได้กับประโยชน์จากการโกงกิน หากพิจารณาด้วยหลักความน่าจะเป็น การที่สังคมอะลุ่มอล่วยต่อคอร์รัปชันก็คือการลดโอกาสที่นักการเมืองจะถูกจับและโดนลงโทษ ถึงแม้ต้นทุนการถูกจับได้จะสูงแต่หากโอกาสที่ถูกจับได้มีน้อยนิด พอมาถัวเฉลี่ยดู ต้นทุนแท้จริงก็มีนิดเดียว เมื่อเทียบกับเงินทองที่จะไหลมาเทมา การคอร์รัปชันนับเป็นการลงทุนแสนคุ้มค่า

วัฒนธรรมคอร์รัปชันอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน สมัยก่อนพ่อค้าที่ต้องการได้รับสิทธิพิเศษทางธุรกิจก็จะวิ่งเต้นผ่านผู้มีอำนาจสามารถให้คุณให้โทษในเรื่องนั้นได้ เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเป็นเวลานานก็เลยกลายเป็นเรื่องปกติ จนทุกวันนี้การกระทำบางอย่างซึ่งเข้าข่ายคอร์รัปชันกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นดาษดื่นทั่วไป

การให้ทิปล่วงหน้ากับพนักงานเสิร์ฟเพื่อให้ได้อาหารก่อนคนอื่น การซื้อตั๋วผีเพื่อให้ได้เข้าชมคอนเสิร์ต แท็กซี่ที่ยอมรับผู้โดยสารลัดคิว ข้าราชการให้บริการคนที่จ่ายเงินใต้โต๊ะก่อนคนอื่น โดยเนื้อแท้แล้ว สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการคอร์รัปชันทั้งนั้น

ธรรมชาติของมนุษย์มีความอยากแทบไม่จำกัด หนทางตอบสนองความอยากเหล่านี้ เมื่อสามารถหาเงินมาได้ง่ายๆ ก็เลยอดใจไม่ได้ พอทำครั้งหนึ่งก็ทำต่อไปเรื่อย พอทำไปบ่อยๆ ก็จะเริ่มยกระดับการคอร์รัปชัน จากเดิมเคยรับเงินแค่ร้อยสองร้อยก็เพิ่มเป็นพัน พันเป็นหมื่น หมื่นเป็นแสน แสนเป็นล้าน ล้านเป็นพันล้านหมื่นล้าน

การอายัดทรัพย์คงจะไม่ได้แก้ปัญหาการโกงกินในบ้านเมืองเราอย่างเบ็ดเสร็จ สิ่งที่จะปรามไม่ให้นักการเมืองมูมมามจนเกินไปคือการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด เอาจริงเอาจัง ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้นักการเมืองทั้งหลายรู้ว่าไม่ว่าจะโกงเล็กโกงน้อยหรือโกงใหญ่ก็ต้องรับโทษทั้งนั้น การที่โอกาสโดนจับได้มีสูง โทษรุนแรง ต้นทุนของการโกงสูงขึ้น นักการเมืองย่อมคิดหนักกว่าเดิมก่อนจะตัดสินใจโกงกิน

อีกเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการสร้างจิตสำนึกใหม่ให้เกิดขึ้นกับสังคม เผยแพร่ให้ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรหรือไม่ควร หากสามารถยกระดับจิตสำนึกได้สำเร็จ จะก่อให้เกิดพลังกดดันทางการเมืองคอยควบคุมนักการเมืองด้วยอีกแรงหนึ่ง

ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือทางสังคม แล้วแต่ว่าสังคมจะเลือกใช้มันอย่างไร เปรียบไปก็เหมือนกับรถยนต์ซึ่งเป็นยานพาหนะนำเราไปสู่จุดหมาย รถจะวิ่งไปทางไหน จะไปได้เร็วหรือช้า จะไปถึงที่หมายโดยปลอดภัยหรือไม่ขึ้นอยู่กับทั้งคนขับและคนโดยสาร ถ้าคนขับดี คนโดยสารช่วยดูทาง การเดินทางก็ราบรื่น ถ้าคนขับไม่ดี คนโดยสารไม่ช่วยดูทาง เอาแต่นั่งหลับ แทนที่จะไปถึงที่หมาย เผลอๆ จะพาลงข้างทางไปเสียก่อน

หากมองประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประเทศที่ก้าวหน้าทางการเมืองกว่าเราส่วนใหญ่ก็เคยมีช่วงเวลาเช่นที่เรากำลังเจออยู่ในช่วงหลายสิบปีมานี้ เราจึงไม่ควรหมดหวังเพียงเพราะรอบตัวมีแต่ข่าวไม่น่าสบายใจ ฮ่องกง สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศในยุโรปตอนเหนือที่เคยแย่กว่าเราเขายังทำได้ เราก็ทำได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือ อย่าหมดหวังเป็นอันขาด เพราะเมื่อเราละทิ้งความเชื่อว่าประเทศไทยสามารถดีกว่านี้ได้ ก็เท่ากับบอกคนโกงกินเหล่านั้นให้ทำเรื่องไม่ดีต่อไปตามที่ใจสะดวก