GEN Y ฝันไกลแต่ไปไม่ถึง เพราะ “ของมันต้องมี”

GEN Y ฝันไกลแต่ไปไม่ถึง เพราะ “ของมันต้องมี”

ต้องยอมรับกันนะครับว่า พฤติกรรมและทัศนคติการใช้จ่ายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ของคนไทยนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 เราอยู่ในยุคที่ซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดายมากขึ้น มีแรงจูงใจ แคมเปญต่างๆมากมายที่ช่วยสนับสนุนทัศนคติอย่าง “ของมันต้องมี ให้เกิดขึ้น และช่วยกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เมื่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทยเปลี่ยนไป คือ พฤติกรรมทางการเงินของคนไทย ที่เป็นเรื่องสำคัญที่หลายคนอาจละเลยไป โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ GEN Y ที่ในที่นี้หมายถึง กลุ่มคนอายุระหว่าง 23-38 ปี ที่เป็นวัยเริ่มทำงานและกลุ่มคนทำงานที่อายุต่ำกว่า 40

ประเด็นพฤติกรรมการเงินของคน GEN Y เป็นที่น่าสนใจเนื่องจาก ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า ในปัจจุบัน กลุ่ม GEN Y ที่มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 14.4 ล้านคน มีจำนวนคนที่มีหนี้สินอยู่ถึง 50% ด้วยกัน หรือคิดเป็นคนที่มีหนี้ทั้งสิ้น 7.2 ล้านคน และโดยเฉลี่ย ในกลุ่มที่มีหนี้มีภาระหนี้อยู่ประมาณ 4.23 แสนบาทต่อคนด้วยกัน ที่น่าตกใจคือ เมื่อศึกษาเพิ่มเติม พบว่าในบรรดาผู้กู้ GEN Y มีหนี้ผิดนัดชำระ หรือหนี้เสีย ถึง 20% ด้วยกัน ซึ่งคิดเป็นจำนวน 1.4 ล้านคนที่ผิดค้างชำระหนี้ เมื่อศึกษาประเภทหนี้จะพบว่า คน GEN Y เป็นหนี้ในสินทรัพย์หลักอย่างบ้านในอัตราที่ต่ำ โดยมีเพียงแค่ 6 เปอร์เซนต์ ของประชากร แต่มีภาระหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลสูง โดยเป็นหนี้ทั้งสิ้น 17 และ 29 เปอร์เซนต์ตามลำดับ

 ยิ่งไปกว่านั้น ผลการศึกษาของศูนย์วิเคราะห์ Customer Insights by TMB Analytics พบประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มไปอีกว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายของคน GEN Y นั้นเป็นการหมดเงินในปัจจุบันไปกับ ของมันต้องมี มากกว่าการจัดการเงินให้ถูกต้องเพื่อตามความฝันในอนาคต จากการเปรียบเทียบผลจากการสำรวจพฤติกรรมทางการเงิน เราพบว่า ในขณะที่ GEN Y มีความฝันต้องการสินทรัพย์ที่สะท้อนอนาคตที่มั่นคงอย่าง มีบ้านเป็นของตนเอง (48%) หรือมีรถ (22%) เมื่อตนเองมีอายุ 40  เป็นอันดับต้นๆ แต่ GEN Y นั้นหมดเงินไปกับ ของมันต้องมีไปเสียมาก และมีการออมที่น้อยกว่าที่ควรเพื่อบรรลุฝันของตัวเอง

 เราพบว่าคน GEN Y โดยเฉลี่ยหมดเงินไปกับ ของมันต้องมีกว่า 95,000 บาท ในกลุ่มสินค้า เสื้อผ้า โทรศัพท์ เครื่องสำอาง อุปกรณ์ไฟฟ้า และกระเป๋า เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งจำนวนเงินเหล่านี้เปรียบได้เป็น 1 ใน 4 ของรายได้ต่อปี เมื่อเราประมาณจำนวนเม็ดเงินที่ GEN Y ใช้จ่ายไปกับ ของมันต้องมีเราจะพบว่าคน GEN Y ใช้เงินปีละ 1.37 ล้านล้านบาทไปกับของมันต้องมี ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเม็ดเงินที่สูงมาก โดยเทียบมูลค่าได้เป็น 8 เท่าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อสนามบิน หรือเทียบได้เป็น 13 เปอร์เซนต์ของ GDP ประเทศไทย

นอกจากเรื่องการใช้จ่ายที่เป็นปัญหาแล้ว เรื่องการเก็บออม ก็เป็นปัญหาแก่ GEN Y ด้วยเช่นเดียวกัน จากการศึกษา พบว่า GEN Y ตั้งเป้าหมายการออมไว้เฉลี่ยที่ 6 ล้านบาท โดย 49% ของ GEN Y ตั้งเป้าหมายออมให้มีเงินเก็บอยู่ระหว่าง 1-5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากศึกษาพฤติกรรมการออมที่แท้จริง จะพบว่ายังมีพฤติกรรมการออมในระดับที่ต่ำ โดย 53% ของ GEN Y ที่ศึกษารายงานว่ามีการออมเงินในแต่ละเดือนต่ำกว่า 3,000 บาท และมีค่าเฉลี่ยการออมเงินในแต่ละเดือนเพียง 5,500 บาทเท่านั้น ซึ่งถ้าเก็บออมด้วยอัตรานี้ อาจจะต้องใช้เวลาถึง 90 ปี กว่าจะสามารถออมเงินได้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 

 ผมมองว่าแม้ประเด็นการจัดการเงินของกลุ่ม GEN Y อาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่สายเกินแก้ครับ การช่วยเหลือกลุ่ม GEN Y เป็นเรื่องสำคัญที่หลายๆฝ่าย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอย่างสถาบันการเงิน ควรเข้ามามีบทบาทร่วมกัน เพื่อช่วยให้เกิดการให้ความรู้เรื่องการเงินที่ถูกต้องเพิ่มมากขึ้น และมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินทีเหมาะสม ที่จะทำให้คน GEN Y สามารถเก็บออมจนถึงฝันของตัวเองได้ครับ