เทพนิยายในตลาดหุ้น

เทพนิยายในตลาดหุ้น

หุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นหวือหวาร้อนแรงมาก ๆ  ในช่วงเวลาอันสั้นนั้น  เกือบทั้งหมดต่างก็มักจะมี“Story” หรือเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น 

 ฟังแล้วก็จะรู้สึกประทับใจ  คนที่  “ไร้เดียงสา” หรือแม้แต่คนที่คิดว่ามีประสบการณ์มาเพียงพอก็อาจจะยัง “เคลิ้ม” จนต้อง “เสพ” หรือดื่มด่ำกับเรื่องราวดังกล่าวและคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง  เป็นความฝันที่จะกลายมาเป็นความจริงและชีวิตของตนก็จะมีแต่ความสุข  แต่สำหรับผมเองแล้ว  ประสบการณ์ที่พานพบมาต่อเนื่องยาวนานบอกผมว่า  เรื่องราวความเป็นจริงที่ตามมานั้น  ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เป็นไปตามสตอรี่ที่สร้างหรือวาดภาพขึ้นมา  มันเป็นแค่  “Fairy Tale” หรือ  “เทพนิยาย” ในตลาดหุ้นที่มีการเขียนขึ้นมาอย่างดีสุดยอดที่ทำให้คนอ่านเกิด  “จินตนาการ” หรือ “ฝันไป” กับเรื่องราว “สุดวิเศษ” เหล่านั้นชั่วขณะ  อาจจะคล้าย ๆ  กับผู้หญิงจำนวนมากที่อ่านเทพนิยายเรื่องซินเดอร์เรลล่าแล้วฝันว่าตนเองจะเป็นเหมือนซินเดอร์เรลล่าที่จะได้แต่งงานกับเจ้าชายทั้ง ๆ ที่ในชีวิตจริงนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย  ลองมาดูกันว่าในช่วงเร็ว ๆ  นี้เรามี  “เทพนิยาย”  เรื่องอะไรบ้าง

เทพนิยายเรื่องแรกและน่าจะเป็นเรื่องที่สร้างจินตนาการได้สุดยอดมีคนติดตามกันมากและเคลิบเคลิ้มไปทั้งตลาดก็คือการที่หุ้นขนาดเล็ก-กลางที่อยู่ในกลุ่มผู้บริโภคที่มียี่ห้อโดดเด่นหรือมีแนวทางการขายแบบใหม่และพุ่งเป้าสู่  “ตลาดโลก” หรือนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว  จะเติบโตแบบก้าวกระโดดและอาจจะกลายเป็น “ผู้เล่นระดับโลก” ดังนั้น  ราคาหุ้นก็สามารถวิ่งขึ้นไปได้เป็นหลาย ๆ เท่าหรือเป็นสิบเท่าได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี  Market Cap. ระดับแสนล้านบาทก็ไม่ถือว่าแพง

ความเป็นจริงก็คือ  หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วไม่เกิน 2-3 ปี  กำไรก็เริ่มสะดุด  แผนการหรือโครงการที่จะขยายธุรกิจประสบอุปสรรคไม่เป็นไปตามคาด  กำไรถดถอยลงเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น  สิ่งที่พูดไว้ถูกดัดแปลงหรือปรับใหม่  บางกรณี “สตอรี่ใหม่” ก็ตามมา  แต่ความน่าเชื่อถือก็หมดไป  ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักเหลือเท่ากับราคาก่อนที่จะขึ้นไปหรือต่ำกว่า  หลายคน  “ตื่นจากความฝัน”

 เทพนิยายต่อมาเป็นเรื่อง  “ความฝันแห่งภาคตะวันออก” หรือเขตเศรษฐกิจ EEC ของรัฐบาล  ว่ามันจะทำให้เกิดการลงทุนและการใช้พื้นที่โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกหลายจังหวัดในระยะเวลาอันสั้นไม่กี่ปี   ความเป็นจริงดูเหมือนว่าจะมาช้ากว่าที่คิดมากหรือบางทีมันอาจจะไม่มาเลยก็ได้โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึง Supply หรือคู่แข่งทั้งเก่าและใหม่ที่อาจจะเริ่มสร้างกำลังการผลิตหรือนิคมอุตสาหกรรมเพิ่ม  ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ EEC บางตัวก็มีการปรับขึ้นไปบ้างในตอนแรก ๆ  ของการรณรงค์  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ดูเหมือนว่าหุ้นในกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จาก EEC แทบจะไม่ไปไหน  จำนวนมากตกลงมาด้วยซ้ำ  ถ้าจะพูดไป  เทพนิยายเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นที่นิยมมากเท่าที่คิดตั้งแต่แรก ๆ ด้วยซ้ำ 

 เรื่องของการสร้างสาธารณูปโภคของรัฐนั้นน่าจะเป็น  Fairy Tale มานานพอสมควร  “เราจะมีโครงการใหม่ ๆ  เป็นแสน ๆ ล้านบาท”  รถไฟ  สนามบิน ท่าเรือ  รถไฟฟ้าในเมืองและระหว่างเมือง  เป็นต้น  ดังนั้นธุรกิจเช่นรับเหมาก่อสร้างและโครงการที่เกี่ยวข้องจะได้ประโยชน์มหาศาล  อย่างไรเสียรับเหมารายใหญ่ ๆ ก็จะต้องได้งานมากมายจนทำไม่ไหวและจะได้กำไรดีเพราะงานมากไม่ต้องแข่งขันด้านราคามาก    ในช่วงแรกก็ดูเหมือนว่าหุ้นบางบริษัทก็ปรับตัวขึ้น  อย่างไรก็ตาม  เวลาผ่านไปโดยที่โครงการเกิดช้ากว่าที่คิด  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  บริษัทรับเหมาจากต่างชาติเข้ามาแข่ง  งานในมือที่คิดว่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ  นั้นกลับน้อยลง  ราคาหุ้นตกต่ำลง  และคนที่เคยเล่านิทานเรื่องนี้ก็หายหน้าจากไป

 เรื่องของเมกาเทรนด์นั้นก็น่าจะเป็น  “เทพนิยาย” เหมือนกัน  เช่น   คนไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพโดยเฉพาะโรงพยาบาลจะได้ประโยชน์  ดังนั้น  หุ้นของโรงพยาบาลทุกรูปแบบรวมถึงที่เกี่ยวกับฟันก็วิ่งขึ้นไปหรือมีคนสนใจเข้าไปลงทุนกันมาก  ค่า PE ดูเหมือนจะสูงลิ่วระดับ 30-40 เท่าขึ้นไปกันเป็นส่วนใหญ่  แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ดูเหมือนว่าการเติบโตของยอดขายและกำไรของโรงพยาบาลก็ไม่ได้ดูโดดเด่น  โรงพยาบาลที่เคยเป็นสุดยอดและแข่งขันได้ในระดับสากลมีลูกค้าต่างชาติจำนวนมากกลับไม่เติบโตหรือโตน้อย   คำแก้ตัวนั้นมีหลายอย่างรวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น    อย่างไรก็ตาม  โรงพยาบาลท้องถิ่นเองก็ไม่ได้ดูดีอะไรนักในแง่ของผลประกอบการ  อย่างมากที่เห็นก็คือ  โรงพยาบาลก็โตพอ ๆ  กับเศรษฐกิจหรือดีกว่าก็เพียงเล็กน้อย  หุ้นโรงพยาบาลที่เคยร้อนแรงตอนนี้ก็นิ่งหรือบางตัวก็ลงมาแรงพอสมควร

 โรงแรมที่เคยเป็นหุ้นกลุ่มยอดนิยมเหมือนกันเนื่องจากมันก็อยู่ใน “เมกาเทรนด์” หลังจากที่คนจีนเริ่มออกมาเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะเมืองไทยเมื่อซัก 10 ปีที่ผ่านมา  ประเทศไทยเองก็ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นขึ้นกลายเป็นประเทศหรือเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกในระดับสูง  “เทพนิยาย”  เรื่องการท่องเที่ยวและโรงแรมถูกแต่งขึ้นและนักลงทุนต่างก็เคลิบเคลิ้มว่ามันคือธุรกิจที่สุดยอดและจะเติบโตไปอีกมาก    หุ้นโรงแรมวิ่งขึ้นไปแรงและสูงมาก  บางตัวกลายเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นมหาศาล  แต่ดูเหมือนว่าการเติบโตที่รวดเร็วนั้นก็ชะลอลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  น่าจะมีโรงแรมใหม่ ๆ  เปิดขึ้นมากไม่ต้องพูดถึง “ที่พัก” จากแอร์บีเอ็นบีและอพาร์ตเม้นต์ที่เพิ่มขึ้นมาไม่หยุดหย่อนที่ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้โตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

หุ้นกลุ่มผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศในยามที่เศรษฐกิจค่อนข้างซบเซาเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงในช่วงนี้ต่างก็ได้รับการแนะนำว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและดังนั้นก็เป็นหุ้นกลุ่มที่ควรซื้อลงทุน  แต่นี่ก็น่าจะเป็นเทพนิยายอีกเช่นกัน  เพราะตัวเลขยอดขายของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มค้าปลีกแทบจะไม่เติบโตเลย  เหตุผลก็ชัดเจน  ตัวเลขเม็ดเงินที่ใช้นั้นเทียบไม่ได้กับตัวเลขรวมของการใช้จ่ายปกติที่เป็นอยู่

 Fairy Tale ไม่ใช่มีเฉพาะตลาดหุ้นไทย  ในตลาดหุ้นอเมริกาเองนั้นก็มี  และที่เล่ากันเป็นประจำทุกครั้งที่ตลาดร้อนแรงและบริษัทจดทะเบียนขยายตัวโดยการเข้าควบรวมกิจการบริษัทอื่น ๆ  เป็นจำนวนมากเพราะคาดหวังว่าจะทำให้บริษัทเติบโตและมีกำไรเพิ่มขึ้นรวดเร็ว   แต่  “เทพนิยาย” เรื่องนี้ก็มักไม่เป็นจริง  เพราะหลังจากนั้น  ธุรกิจที่ซื้อมาก็มักจะ  “เน่า” ผู้บริหารที่เข้ามาใหม่ก็ต้องขายกิจการทิ้ง  ซึ่งทำให้วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดเปรียบเปรยว่ามันเหมือนเทพนิยายเรื่อง  “เจ้าชายกบ” ที่เป็นเรื่องของเจ้าหญิงที่จูบเจ้าชายที่ถูกแม่มดสาบให้เป็นกบแล้วเจ้าชายก็ฟื้นกลับขึ้นมา  บัฟเฟตตบอกว่าเจ้าหญิงก็คล้ายกับผู้บริหารที่คิดว่าตนเองสามารถมองหากบหรือกิจการเน่าที่ถูกสาบแล้วฟื้นมันขึ้นมาได้  แต่ในชีวิตจริง  มันไม่มี  จูบกบกี่ตัวมันก็ยังเป็นกบอยู่นั่นเองไม่เป็นเจ้าชายอย่างที่หวัง

 ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น  หุ้นกลุ่มที่ถูกอ้างว่าเป็น “หุ้นโตเร็ว”  ที่มักเป็นกลุ่มที่มีรายได้และกำไรโตเร็วในช่วงเร็ว ๆ  นี้  ก็มักเป็น  “เทพนิยาย”  ที่เป็นเรื่องของจินตนาการ  เพราะมันมักจะโตเร็วเฉพาะในช่วงเวลานั้นและเกิดขึ้นเพราะสถานการณ์เอื้ออำนวย  ไม่ใช่เรื่องของการโตจากพื้นฐานของบริษัทและเมกาเทรนด์  แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป  การเติบโตเร็วก็หยุดลง  กลายเป็นเติบโตธรรมดาหรือโตช้า  บางบริษัทลดลงด้วยซ้ำ  ดังนั้น  ราคาของหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเพราะคนฟังนิยายเชื่อและแห่กันมาซื้อก็จะตกลงมาอย่างแรงเหมือนกับนางฟ้าตกสวรรค์เพราะคนต่างก็แห่ขายหุ้นทิ้ง

 ในฐานะที่เป็น Value Investor  การฟังเรื่องราวต่าง  ๆ ของบริษัทจดทะเบียนหรือเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ  ในตลาดหุ้น  เราจะต้องระมัดระวังว่ามันเป็นเรื่องที่มีความเป็นจริงสูงหรือเป็น “เทพนิยาย”  ที่มีเนื้อเรื่องน่าประทับใจแต่เป็นเรื่องของจินตนาการที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย  เพราะถ้าเราวิเคราะห์ผิด  โอกาสที่จะเสียหายก็จะสูง