เปิดสาระสำคัญ กฎหมายคอมพิวเตอร์ (ตอนที่ 6)

เปิดสาระสำคัญ กฎหมายคอมพิวเตอร์ (ตอนที่ 6)

สรุปสาระสำคัญในการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ปี 50 มาเป็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ปี 60

อ้างอิงข้อความบางส่วนจากเอกสารสรุปจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)

3. การระงับการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์

ในการดําเนินการเพื่อระงับการแพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือการปิดกั้น เว็บไซต์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้กําหนดกระบวนการตรวจสอบการใช้อํานาจในการปิดเว็บไซต์ของพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ตามมาตรา ๒๐ โดยกําหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจร้องขอต่อศาลที่มีเขตอํานาจโดยความเห็นชอบจากรัฐมนตรีขอให้ศาลมีคําสั่งระงับการเผยแพร่ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือสั่งปิดเว็บไซต์ได้ซึ่งการกําหนดขั้นตอนดังกล่าวในความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าก่อให้เกิดข้อจํากัดในการดําเนินการเนื่องจากกระบวนการที่ต้องขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีและนําพยานหลักฐานเสนอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคําสั่งระงับการเผยแพร่ นั้นเป็น กระบวนการที่ทําให้เกิดความล่าช้า ในขณะที่ฝ่ายองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) มีความเห็นว่ากระบวนการดังกล่าวมิใช่การตรวจสอบการใช้อํานาจของพนักงานเจ้าหน้าที่อย่างแท้จริง แต่เป็นการกระทำเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการใช้อํานาจเพื่อละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น freedom of speech เป็นต้

จึงมีการตั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะว่า ในกรณีการให้อํานาจพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปิดกั้นเว็บไซต์ ควรที่จะมีการกลั่นกรองก่อนดําเนินการปิดกั้น และต้องเป็นการดําเนินการโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งในเบื้องต้นน่าจะลดประเด็นปัญหาทางปฏิบัติอันก่อให้เกิดความกังวลกับผู้ให้บริการได้ แต่ต้องพิจารณาให้สอดคลองกับรูปแบบในการบูรณาการการทํางานด้วย และโดยเหตุที่ในปัจจุบันมีการร้องขอระงับการแพร่หลายโดยการปิดกั้นเว็บไซต์ แต่กฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้มีการเพิกถอนการระงับดังกล่าวจึงได้มีการเสนอหลักการเพิ่มเติมเรื่องการยกเลิกการระงับการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อลดภาระแก่ผู้ให้บริการที่จะต้องดูแลรักษาพื้นที่ในฐานข้อมูลดังกล่าวและมิให้เป็นการละเมิดหรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลจนเกินสมควรหากปรากฏในภายหลังว่าข้อความหรือข้อมูลดังกล่าวมิได้เป็นการละเมิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ในการกําหนดเพิ่มกระบวนการกลั่นกรองและผู้ตรวจสอบก่อนที่จะมีการยื่นคําร้องขอระงับการเข้าถึงเว็บไซต์เป็นรายละเอียดในทางปฏิบัติ จึงควรที่จะกําหนดรายละเอียดแยกต่างหาก และเพื่อให้ง่ายต่อการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น จึงมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังนี้

 

ข้อความเดิมในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐

มาตรา ๒๐ ในกรณีที่การกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการทําให้แพร่หลาย
ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามที่กําหนดไว้ในภาคสองลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคํารองพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอํานาจขอให้มีคําสั่งระงับการทําให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้

ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งให้ระงับการทําให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ให้
พนักงานเจ้าหน้าที่ทําการระงับการทําให้แพร่หลายนั้นเอง หรือสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทําให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ได้

 

ข้อความปรับปรุงแก้ไขในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๖๐

 มาตรา ๑๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิด
เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

มาตรา ๒๐ ในกรณีที่มีการทําให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ดังต่อไปนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคําร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอํานาจขอให้มีคําสั่งระงับการทําให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้

(๑)ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

(๒) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามที่กําหนดไว้
ในภาค ๒ ลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา

(๓) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดอาญาตามกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาหรือกฎหมายอื่นซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้นหรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้ร้องขอ

ในกรณีที่มีการทําให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์จะมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคําร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอํานาจขอให้มีคําสั่งระงับการทําให้แพร่หลายหรือลบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทั้งนี้ ให้นําบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการที่มีอํานาจดําเนินการพิจารณาทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับกับการประชุมของคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยอนุโลม

ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรคสองขึ้นคณะหนึ่ง หรือหลายคณะ แต่ละคณะให้มีกรรมการจํานวนเก้าคนซึ่งสามในเก้าคนต้องมาจากผู้แทนภาคเอกชน ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสื่อสารมวลชน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง และให้กรรมการได้รับค่าตอบแทนตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกําหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง

การดําเนินการของศาลตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้นําประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งให้ระงับการทําให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง พนักงานเจ้าหน้าที่จะทําการระงับการทําให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเองหรือจะสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทําให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ได้ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรี ประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ ระยะเวลา และวิธีการปฏิบัติสําหรับการระงับการทําให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้บริการให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันโดยคํานึงถึงพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เว้นแต่ศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น

ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นเร่งด่วน พนักงานเจ้าหน้าที่จะยื่นคําร้องตามวรรคหนึ่งไปก่อนที่จะได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี หรือพนักงานเจ้าหน้าที่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์จะยื่นคําร้องตามวรรคสองไปก่อนที่รัฐมนตรีจะมอบหมายก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องรายงานให้รัฐมนตรีทราบโดยเร็ว”

 

กรุณาติดตามต่อในตอนที่ 7 นะครับ