ไขลานกกต. “อย่าอยู่ให้เปลืองข้าวสุก” !

ไขลานกกต.  “อย่าอยู่ให้เปลืองข้าวสุก” !

มีคดีใหญ่ที่ค้างไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เกิดความล่าช้า อย่างน้อย 3 เรื่อง ที่ต้อง “ไขลาน” ให้สำนักงานกกต. ทำงาน

เพราะการเลือกตั้งผ่านมากว่า 7เดือน แต่การทำงานของสำนักงานกกต. “อืดเหมือนเรือเกลือ” จนทำให้ผู้ร้องและสังคม ต้องทวงถามว่า คดีเหล่านั้นไปถึงไหน.

คดีแรกการดำเนินการทางอาญากับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในการใช้คุณสมบัติอันมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 แห่งรัฐธรรมนูญ กรณียังคงถือครองหุ้นสื่อ (วีลัค มีเดีย) หรือไม่ในวันสมัคร ส.ส. (6 ก.พ.2562).

คดีนี้พอเข้าใจได้ว่า อาจจะรอผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องคุณสมบัติของผู้สมัครของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 20 พฤศจิกายนนี้ แต่หลังจากนั้นหากศาลวินิจฉัยว่า ให้ ”เพิกถอนสิทธิการสมัคร” ของนายธนาธร สำนักงานกกต.ที่มี จรุงวิทย์ ภุมมา เป็นเลขาธิการ เลิก “อืดอาดเสียที” แต่ถ้าศาลวินิจฉัย “เป็นคุณ” กับ ธนาธร การดำเนินคดีอาญาก็ต้องยุติเช่นกัน.

สองคือคดีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบว่า กระทำผิด พ.ร.ป.พรรคการเมือง ซึ่งมีพยานหลักฐานชัดเจน เพราะเป็นการพูดของธนาธรเอง รวมทั้งการยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อปปช.ของเจ้าตัว จึงไม่มีเหตุผลพอที่กกต.จะทำงาน “เชื่องช้า” ในการพิจารณาคดีนี้อีก จนกระทั่งต้องรอให้ผู้ร้องไปกระทุ้ง กกต.อีกครั้ง.

อีกคดีที่ทำให้นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ จากค่ายประชาธิปัตย์ ผู้ร้อง ต้องทวงถาม คือการกว้านซื้อบัตรประชาชนในพัทลุง นับหมื่นใบ ของพรรคการเมืองคู่แข่ง เพื่อประโยชน์ในคะแนนเสียงเลือกตั้ง 24 มีนาคมที่ผ่านมา.

นิพิฏฐ์ยืนยันว่ามีหลักฐานชัดเจน และกกต.พัทลุงได้สรุปเรื่องส่งกกต.สสำนักงานใหญ่นานแล้ว แต่ จรุงวิทย์ ภุมมา กลับบอกสื่อว่า “สำนวนยังไม่เสร็จ”.

ต้องถามว่าทั้งสองคดี “ล่าช้า” เพราะอะไร อย่าให้อำนาจเงิน-การเมืองมาแทรกแซงองค์กร ซึ่งมีหน้าที่คัดกรองคนเข้าสู่อำนาจตั้งแต่ต้น ไม่สามารถ ”อำนวยความยุติธรรม” ได้แต่แรก และจงจำไว้ว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม”.

กกต.ใหญ่ทั้ง 7 ควรหันมาดูคดีนี้อย่างจริงจัง ถ้าเขาไม่ผิดก็ยุติคดีเสีย แต่ถ้าผิดโทษสูงสุดคือยุบพรรค เพราะการทุจริตการเลือกตั้งที่

พัทลุงข่าวว่ากระทำโดยคนที่เป็นกรรมการบริหารพรรค ส่วนเงินกู้พรรคอนาคตใหม่กระทำโดยมติพรรค.

กกต.จึงควรเร่งสรุปเรื่อง ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป มิเช่นนั้นจะถูกตำหนิได้ว่า “อยู่ไปก็เปลืองข้าวสุก”.