เคล็ดลับสร้างสุขของเกาหลี

เคล็ดลับสร้างสุขของเกาหลี

ทุกคนอยากมีความสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่ละวัฒนธรรมก็มีคำสอนเพื่อให้เกิดความสุขเพียงแต่จะเอาไปปฏิบัติกันมากน้อยเพียงใด

ฒนธรรมเกาหลีมีเคล็ดลับในการสร้างความสุขที่น่าสนใจและน่าดัดแปลงไปใช้

Euny Hong เขียนหนังสือชื่อ “The Power of Nunchi: the Korean Secret to Happiness and Success (2019) เสนอแนะไอเดียเรื่องการนำสิ่งที่เรียกว่า “nunchi” มาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อสร้างความสุขและความสำเร็จ

“nunchi”หมายถึงศิลปะในการรู้สึกสัมผัสว่า คนอื่นๆ กำลังคิดและรู้สึกอย่างไร และควรตอบกลับอย่างเหมาะสมอย่างไร เด็กๆ เกาหลีถูกสอนให้มี “nunchi” ในทุกลักษณะของการดำเนินชีวิต กล่าวคือ ให้รู้จักเรียนรู้ว่าคนอื่นๆ หรือกลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นกำลังมีความรู้สึกอย่างไรและควรกระทำตนเองอย่างไร ในภาษาไทยเราก็คล้ายกับการรู้จักกาละเทศะ

“nunchi” ดูจะกินความกว้างขวางเพราะหมายถึงการกระทำที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นอันเป็นผลมาจากการมีการกระทำที่สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่นไม่พูดโพล่งอะไรที่ไม่เหมาะสมขึ้นมาในยามที่คนที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่นั้นอยู่ในสภาวะเศร้าโศกเสียใจหรือไม่สังเกตเรียนรู้ว่าที่ประชุมกำลังมีความรู้สึกอย่างไรและกระทำสิ่งที่ตรงข้าม(กำลังจะเลิกประชุมกันเพราะหิวข้าวก็กลับถามคำถามที่ต้องใช้เวลานานในการพูดจากัน)

พูดง่ายๆ ก็คือคนที่ไม่รู้จักสัมผัสสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ ไม่เข้าใจว่าคนอื่นกำลังรู้สึกอย่างไร กระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ คือคนที่ขาด “nunchi” ซึ่งเป็นศิลปะอันเกิดจากการสั่งสมทักษะและความรู้

“nunchi” เน้นเรื่องความเร็วในการรับรู้สัมผัส คนที่ช้าในการรับรู้เป็นนัยว่าเจ้าของบ้านอยากให้ลากลับบ้านแล้วหรือช้าในการสัมผัสว่ากำลังเผชิญกับภยันตรายย่อมไปไม่ไกลในการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นและอาจไม่มีชีวิตยืนยาวด้วย

ผู้เขียนเน้นว่า“nunchi” เป็นเครื่องมือสำคัญในการสังคม คนเกาหลีมีคำพูดว่า “ครึ่งหนึ่งของ social life คือ nunchi” ทุกคนจำเป็นต้องมี“nunchi” ในการเข้ากับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ในการได้สิ่งที่ต้องการจากผู้อื่น(เนื่องจากรู้สึกสัมผัสความรู้สึกของเขา)และในการป้องกันตนเองจากอันตรายในสังคมไทยคนซื่อบื้อก็คือ คนที่ขาด“nunchi”นั่นเอง

ในสังคมเกาหลีเช่นเดียวกับจีนและญี่ปุ่น การแลกเปลี่ยนนามบัตรถือเป็นเรื่องสำคัญ “nunchi” มีบทบาทในเรื่องนี้ดังเห็นได้จากการให้และการรับนามบัตร ทั้ง 2 ฝ่ายต้องใช้มือทั้งสองข้างพร้อมกันในการให้และรับอย่างสุภาพนอบน้อมอย่างเป็นพิธีการ ราวกับมันเป็นสิ่งเปราะบาง เมื่อรับมาแล้วก็ต้องพิจารณาอ่านอย่างตั้งใจสักพักเพื่อให้เห็นว่าเป็นสิ่งมีคุณค่า และให้ความเคารพตัวตนของฝ่ายตรงข้าม คนเกาหลีจะไม่รับนามบัตรและเอาใส่กระเป๋าโดยทันทีอย่างเด็ดขาด

พิธีการนี้คือการให้โอกาสทั้งสองฝ่ายที่จะใช้ “nunchi” ประเมินซึ่งกันและกันเพื่อให้สามารถสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นใครและเป็นคนอย่างไร สมควรที่จะคบหากันต่อไปหรือไม่ พิธีการนี้คือการเชื่อมโยงทั้งสองฝ่ายเข้าหากันอันเป็นพื้นฐานของความไว้วางใจในอนาคต

ไม่ว่าจะเป็นคนรวยคนจนหรือคนไม่มีอภิสิทธิ์ก็สามารถใช้ “nunchi” ได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีคำกล่าวในสังคมเกาหลีว่า “nunchi คืออาวุธลับของผู้ที่เสียเปรียบในสังคม ด้วยซ้ำ คนที่มีทักษะสูงแต่เกิดมาเสียเปรียบสามารถใช้ “nunchi” ในการรู้จักจังหวะที่พูดหรือถามหรือขอร้องหรือสัมผัสความต้องการของคนอื่นๆเสมอ

คนที่เป็นนักพูด ครูอาจารย์และพระซึ่งต้องใช้การพูดเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานหากมี “nunchi” ก็จะสามารถสัมผัสความรู้สึกของผู้ฟังว่าเข้าใจหรือพอใจสิ่งที่ตนกำลังพูดอยู่หรือไม่เพียงใด

ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเราเองกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญของการมีความสุขของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามผู้เขียนเชื่อว่าการมี “nunchi” จะทำให้แต่ละคนสามารถสัมผัสและเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นๆ ได้อย่างดีเป็นพิเศษ แนวคิด nunchi จะช่วยทำให้คนคิดถึงการฝึกฝนตนเองให้มี sense ในการสัมผัสสิ่งที่อยู่รอบข้างและมีการกระทำตอบรับที่เหมาะสมอันจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นในระยะยาว “nunchi” จึงเป็นเคล็ดลับในการสร้างสุข

สำหรับสังคมไทยเรา คำว่า “ไม่เป็นไร” ก็สามารถนำไปใช้ในบริบทของการสร้างสุขได้เช่นเดียวกับ “nunchi” เพียงแต่ยังไม่มีการวิเคราะห์อย่างละเอียดและยังไม่มีคนนำไปเขียนเป็นภาษาอังกฤษแบบ Euny Hong

“ไม่เป็นไร” มีนัยสำคัญว่า เมื่อ “เสีย” ไปแล้วก็อย่าไปหมกมุ่นเสียใจ เสียดายกับมันคิดว่าช่างมันและตัดมันไป และเริ่มต้นใหม่กันดีกว่า ทัศนคติแบบนี้ทำให้เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ไม่ติดกับดักอดีตโดยยอมรับสิ่งที่เสียไป

“ไม่เป็นไร” ก็มีนัยสำคัญในด้านลบ(เคยมีหนังสือชื่อนี้เป็นภาษาอังกฤษเมื่อหลายปีก่อน) ว่าเป็นทัศนคติที่ไม่ใยดีกับสิ่งลบที่เกิดขึ้น ไม่ให้ความสำคัญหรือให้ความจริงจังกับสิ่งที่ทำอยู่ เพราะคิดว่า “ไม่เป็นไร” อยู่เสมอ ผู้วิจารณ์ด้านลบคิดว่าที่ถูกต้องนั้นมันต้อง “เป็นไร” ถ้ามัวแต่“ไม่เป็นไร”อยู่เรื่อยมันก็ไม่เกิดสิ่งที่เป็นมรรคเป็นผลขึ้นเสียที

ไม่ว่าจะตีความด้านบวกหรือลบก็ตาม เราต้องยอมรับว่าทัศนคติ “ไม่เป็นไร” นั้นทำให้เกิดความสุขขึ้นได้ กล่าวคือมีความรู้สึกยอมรับสิ่งที่สูญเสียและมาเริ่มกันใหม่ ไม่จมอยู่ในความทุกข์เพราะทำไม่สำเร็จ คนที่ไม่ว่าอะไรก็เป็นไรอยู่เสมอนั้น จะมีความเครียดเพราะจริงจังเกินไปกับทุกสิ่งในโลกนี้ที่ไม่มีอะไรจีรัง

ในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ลื่นไหลและผันผวนอย่างยากแก่การพยากรณ์แนวคิด “nunchi” ช่วยในการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนและสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ๆได้เป็นอย่างดีเพราะ “nunchi” เน้นเรื่องความเร็วและการปรับตัวให้สอดคล้องกับสรรพสิ่ง

การอ่านคนให้ออกนั้นเป็นศิลปะที่สำคัญในการครองชีวิตปัจจุบันที่แสนจะเปราะบางและแสนยากเย็นในการดูแลทรัพย์สมบัติของคนที่มีเงิน และอยากได้ผลตอบแทนสูง(ก็โลภนั่นแหละ) ทักษะในการอ่านสถานการณ์และอ่านผู้คนเป็นสิ่งที่เรียนรู้และสั่งสมกันได้ตราบที่พยายามเปิดใจรับรู้สิ่งดีๆจากทุกวัฒนธรรม