เล่นหุ้นตามรอบ

เล่นหุ้นตามรอบ

สำหรับคนที่เกาะติดตลาดหุ้นและลงทุนหรือเล่นหุ้นตลอดเวลามานานหลาย ๆ  ปีและ “จำได้”  

ก็จะพบว่าผลตอบแทนการลงทุนและความนิยมของหุ้นกลุ่มต่าง ๆ นั้น  บ่อยครั้งก็จะมี “รอบ” ของมัน  ความหมายก็คือ  ในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งมักจะเป็นเวลาเกินปีหรือบางครั้งก็หลายปี  จะมีหุ้นกลุ่มหนึ่งหรือบางทีมากกว่านั้นที่ผลตอบแทนหรือราคาหุ้นจะเติบโตโดดเด่นเป็นพิเศษ   ตอนเริ่มแรกก็อาจจะมีแค่หุ้นบางตัวในกลุ่มที่วิ่งขึ้นไปแรงมากด้วยเหตุผลต่าง ๆ  ซึ่งรวมถึงผลประกอบการที่เติบโตขึ้นมาก  และเรื่องราวหรือสตอรี่ของบริษัทที่สดใส  รายได้และ/หรือโครงการในอนาคตนั้นจะเพิ่มพูนขึ้นมากจากโครงการทั้งปัจจุบันและอนาคตที่มั่นคงอานิสงค์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เป็น “เมกาเทรนด์”  ประกอบกับความสามารถของบริษัทที่ได้มีการพิสูจน์แล้ว

ต่อมาหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเดียวกันก็เริ่มวิ่งตามมา  เหตุผลก็แบบเดียวกันนั่นคือ  บริษัทก็มีกำไรที่ดี  มีโครงการใหม่ไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไร  และก็เช่นเดียวกัน  มีความสามารถในการแข่งขันไม่ด้อยไปกว่ากันนัก   หลังจากนั้นก็จะมีหุ้นตัวที่สาม  ที่สี่ และต่อ ๆ ไปที่ยังไม่ขึ้นก็จะปรับตัวขึ้นตามกันไป  เหตุผลคงเป็นเพราะว่านักลงทุนและนักเล่นหุ้นต่างก็เชื่อว่าหุ้นในกลุ่มนี้ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันจะต้องดีเหมือนตัวแรกและเหมือนกันหมด  เพราะฉะนั้นจะต้องรีบซื้อก่อนที่มันจะขึ้น  ดังนั้นหุ้นจึงขึ้น  และเมื่อหุ้นเริ่มขึ้น  นักเล่นหุ้นคนต่อมาก็จะรีบเข้าซื้อเพราะกลัว  “ตกรถ”  ดังนั้น  หุ้นจึงต้องขึ้นต่อไป  กลายเป็น  “รอบ”  ของหุ้น  ซึ่งล่าสุดของปรากฏการณ์นี้ก็คือรอบของ “หุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่”  ที่เราเห็นหุ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เกือบทุกตัววิ่งขึ้นไปอย่างแรงเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว

รอบของหุ้นนั้นมักจะมาเมื่อภาวะทางอุตสาหกรรมเอื้ออำนวย  และภาวะทางอุตสาหกรรมนั้นก็มักจะอิงอยู่กับภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย  แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจปีต่อปีแต่มักจะเป็นเรื่องของสถานะหรือระดับของความมั่งคั่งของคนไทยที่ก่อให้เกิด “เมกาเทรนด์” ที่เอื้ออำนวยให้กับอุตสาหกรรมนั้น ๆ   ดังนั้น  “รอบของหุ้น” ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจจึงมักจะไม่ใช่ลักษณะของวัฏจักรที่จะวนกลับมาเป็นรอบ ๆ  แต่มักจะเป็นลักษณะที่มาแล้วก็อาจจะหายไปเลยไม่หมุนเวียนกลับมาอีกหรือกว่าจะกลับมาก็นานจนลืมไปเลย   ลองมาดูรอบของหุ้นในธุรกิจต่าง ๆ  ที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ก่อตั้งดู

ยุคแรก ๆ  ของตลาดหลักทรัพย์นั้น  หุ้นที่มารอบแรกนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นหุ้น “Finance” หรือกลุ่มบริษัท “เงินทุนหลักทรัพย์” ที่เป็นทั้งโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นและเป็นบริษัทเงินทุนซึ่งมักจะปล่อยเงินกู้เช่าซื้อรถยนต์  ปล่อยเงินกู้มาร์จินซื้อขายหุ้น  และต่อมาก็ปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังร้อนแรงเนื่องจากผู้บริโภคคนไทยกำลังเติบโตเป็นหนุ่มสาวจำนวนมากที่ต้องการซื้อบ้านเป็นครั้งแรก  ด้วย   เหตุผลในตอนนั้นก็ชัดเจน  บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มีการเติบโตมหาศาล  บางบริษัทใหญ่ขึ้นมากและเริ่มใช้เทคนิคทางด้านตลาดทุน “สมัยใหม่” เช่น  การเทคโอเวอร์กิจการอื่นที่อาศัยเงินจากการระดมทุนในตลาดหุ้น  ในช่วงท้ายของ “รอบ” นั้น  แม้แต่ธนาคารพาณิชย์เองก็กลายเป็นเป้าหมายของการถูกเทคโอเวอร์  ในส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์นั้น  บางบริษัทก็อาศัยความได้เปรียบที่ตนเองอยู่ใน “ศูนย์กลางของตลาด” ทำการ  “ปั่นหุ้น”  ทั้งหุ้นของบริษัทอื่นและหุ้นของตนเองซึ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมหาศาลโดยที่พื้นฐานของกิจการไม่รองรับ  พวกเขาทำได้เพราะว่ากฎหมายหลักทรัพย์ยังไม่มีประสิทธภาพ  กลต. ก็ยังไม่เกิด  นัก “ปั่นหุ้น” ส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ในแวดวงของผู้บริหารบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนที่มักจะใกล้ชิดกับพวกเขา

รอบของหุ้นกลุ่มต่อมาน่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว  อานิสงค์จากการที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตและมีคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่จำนวนมากที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้   บริษัทพัฒนาสังหาริมทรัพย์จำนวนมากต่างก็มุ่งหน้าเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น  ทุกรายต่างก็มี “โครงการ” ในอนาคตมากมาย  โครงการที่เพิ่งจะเริ่มเปิดขายบางแห่งนั้น  คนแย่งกันเข้าคิวจองตั้งแต่ “ตีสี่” เพื่อที่จะได้สิทธิจอง  บางทีเพื่อจะนำใบจองนั้นมาขายต่อทำกำไรได้ทันทีในตอนสายของวันนั้น  บริษัทอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้น  จำนวนมากกู้เงินก้อนใหญ่เป็นเงินดอลลาร์จากต่างประเทศผ่านบริษัทเงินทุนทำให้สามารถได้ต้นทุนที่ต่ำซึ่งจะถูกนำไปซื้อที่ดินเป็น  “Land Bank”  ราคาถูก  ซึ่งจะสามารถนำมาพัฒนาและขายทำกำไรได้อย่างงดงามในอนาคต  รอบของหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นจบลงเมื่อประเทศไทยเกิดวิกฤติในปี 2540 และเงินบาทอ่อนตัวลงไปประมาณ 50% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐซึ่งทำให้คนที่กู้เงินดอลลาร์จำนวนมากล้มละลาย

หลังวิกฤติเศรษฐกิจ  เป็นเวลาสั้น ๆ  ที่หุ้นในกลุ่มส่งออกที่เหงามานานอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่แข็งเกินความเป็นจริง  เฟื่องฟูขึ้น  ค่าเงินบาทที่อ่อนมากทำให้ผู้ส่งออกได้กำไรเป็น “Windfall Profit”  อย่างไรก็ตาม  บริษัทส่งออกที่อยู่ในตลาดหุ้นในขณะนั้นมักเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรและประมงขนาดเล็ก  ดังนั้น  จึงมีนักลงทุนที่ได้ประโยชน์น้อย  เหนือสิ่งอื่นใด  ในยามนั้นคนที่ยังมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นมีน้อยมาก  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเหลือเพียง 3-4,000 ล้านบาท

เศรษฐกิจของไทยเริ่มฟื้นตัวหลังวิกฤติประมาณ 4-5 ปี  ธุรกิจที่เริ่มมาแรงหลังจากที่หงอยเหงามาตั้งแต่เริ่มดำเนินงานก็คือโทรคมนาคม  เฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ “โทรศัพท์ไร้สาย”  พวกเขาเริ่มฟื้นจากความเสียหายจากค่าเงินบาทในขณะเดียวกันเทคโนโลยีเริ่มก้าวหน้าขึ้นมาก  ราคาขายโทรศัพท์และค่าบริการลดลงอย่างรวดเร็วจนคนไทยส่วนใหญ่สามารถที่จะซื้อใช้ได้  การเติบโตของยอดขายโทรศัพท์มือถือเป็นไปอย่างก้าวกระโดด  ราคาหุ้นของกิจการโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้องวิ่งขึ้นอย่างคึกคัก  ตลาดหุ้นเป็นรอบของหุ้นโทรคมนาคม

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน  กิจการกลุ่มหนึ่งที่เริ่มต้นเจริญเติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ  แต่มั่นคงก็คือ  ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่กำลัง Disrupt หรือทำลายร้านค้าปลีกดั้งเดิมที่มีสาขาน้อยและบริหารงานโดยครอบครัว  ค้าปลีกสมัยใหม่เกือบทุกแขนงเริ่มเข้ามาและก็มักจะแข่งขันกันเองด้วยอย่างเข้มข้นทำให้ยังไม่เห็น “ผู้ชนะ” ที่จะ “ยึดกุมธุรกิจ”  ราคาหุ้นของบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จึงไม่ได้ร้อนแรงอะไรนักในช่วงเริ่มต้น  อย่างไรก็ตาม  ภายในระยะเวลาไม่นาน  เราก็ได้เห็นผู้ชนะในกลุ่มผู้ค้าปลีกแต่ละแขนง  พวกเขามียอดขายและกำไรเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นและมั่นคงปีแล้วปีเล่าซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างช้า ๆ  แต่มั่นคงยาวนานกลายเป็นกลุ่มที่มี  “ซุปเปอร์สต็อก”  มากที่สุดในตลาดหุ้น  หลายบริษัทก็ยังเติบโตต่อมาจนถึงทุกวันนี้

ตามมาติด ๆ จากค้าปลีกสมัยใหม่ก็คือหุ้นกลุ่มที่อิงกับ  “โรงเรือน” หรือต้องใช้อาคารในการทำการค้าขาย  ซึ่งรวมถึงกิจการทำช็อบปิ้งมอล  โรงพยาบาลและโรงแรม  โดยเฉพาะที่เป็น “ผู้นำ”  ต่างก็มีหุ้นที่วิ่งขึ้นไปบางทีเป็นสิบ ๆ เท่าในเวลาแค่ 10 ปี  และนี่ก็คือหุ้นในกลุ่มที่ต้อนรับสังคมคนเมืองที่มีรายได้มากขึ้นอย่างรวดเร็วและมีลูกน้อยคนรวมถึงกระแสของนักท่องเที่ยวจากคนจีนที่รวยขึ้นอย่างรวดเร็ว  มีลูกน้อยคนและใช้เงินในการท่องเที่ยวมากขึ้นเช่นเดียวกัน

หุ้นที่เคยผ่านรอบของความรุ่งเรืองคึกคักในอดีตนั้น  จำนวนมากได้กลายเป็น  “หุ้นปันผล” ในปัจจุบัน  บางกลุ่มหรือบางบริษัทเองนั้นก็อาจจะสูญหายไปจากความทรงจำของผู้คน  บางบริษัทก็อาจจะยังพออยู่ได้  และบางบริษัทก็อาจจะยังยิ่งใหญ่อยู่  หน้าที่ของนักลงทุนแบบ VI ก็คือการวิเคราะห์เหตุผลของการที่หุ้นมีการวิ่งขึ้นเป็นกลุ่มและเป็นรอบว่ามันมีเหตุผลหรือยังมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่  มีหุ้น “ตัวปลอม” ที่อาจจะแฝงเข้ามาอยู่ในกลุ่มหรือไม่  มิฉะนั้นเราอาจจะถูกหลอกให้หลงเข้าไปลงทุนได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ต้องดูถึงราคาของหุ้นที่วิ่งขึ้นไปว่าสูงเกินไปหรือไม่  จำไว้เสมอว่า  ไม่มีหุ้นที่ “ซื้อได้ทุกราคา”  โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่เรายังไม่มี “หุ้นระดับโลก” สำหรับ VI แล้ว  จุดสุดท้ายของการวิเคราะห์หุ้นก็คือ  ราคาสมเหตุสมผลหรือไม่ มี Margin Of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัยหรือไม่