เดินหน้ากันแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

เดินหน้ากันแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ผู้นำมีหน้าที่กำหนดเส้นชัยขององค์กรนั้น แล้วบอกกล่าว หว่านล้อมให้บุคลากรยอมรับและพร้อมที่จะทุ่มเททำงานเพื่อให้องค์กรไปสู่เส้นชัยนั้น

ถ้าผู้นำกำหนดเส้นชัยว่าประเทศจะมีพื้นที่พัฒนาใหม่ ที่เหมือนกับจะเป็นดินแดนใหม่ มีความศิวิไลซ์กว่าพื้นที่อื่นๆ ในทางเทคโนโลยี และนวัตกรรม ตัวผู้นำเองมีหน้าที่สื่อสารบอกกล่าวและหว่านล้อมให้คนในประเทศนั้นยอมรับ และเชื่ออย่างจริงใจว่า วันหน้าจะมีแดนศิวิไลซ์เกิดขึ้นแน่ๆ แม้ว่าวันนี้อาจไม่เห็นวี่แววใดๆ เลยก็ตาม ซึ่งที่ยากที่สุดคือมีคนครึ่งหนึ่งเชื่ออย่างจริงจัง พร้อมๆ กับที่มีคนอีกครึ่งหนึ่งไม่เชื่อเรื่องแดนศิวิไลซ์ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม

ถ้าคนในองค์กรเชื่อที่ผู้นำบอกกล่าวครึ่งหนึ่ง เห็นผู้นำดูดีไปทุกเรื่อง พูดผิดก็บอกว่าเป็นมุกตลก พูดเรื่องเล็ก ก็เป่าฝุ่นให้ดูประหนึ่งเรื่องใหญ่ พร้อมกับอีกครึ่งหนึ่ง เห็นผู้นำเป็นตัวตลกกับทุกเรื่อง พูดถูกก็บอกว่าไม่เห็นมีใครฟัง พูดผิดก็บอกว่าตลกไม่ถูกที่ถูกทาง แล้วทั้งสองกลุ่มต่างก็พยายามบังคับให้อีกกลุ่มหนึ่งหันมาคิด มาเชื่อ มาทำตามแนวทางที่กลุ่มของตนยึดมั่นอยู่ การวิวาทย่อมเกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง ตามระดับความลุ่มหลงในความเชื่อของกลุ่ม ลุ่มหลงมาก วิวาทย่อมแรงมากขึ้นจนปราศจากความสงบที่เพียงพอสำหรับเดินหน้าการงานไปได้ด้วยดี องค์กรนั้นจึงมีสภาพเหมือนรถติดหล่ม เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังไม่ได้ จากการที่จะเดินไปทางไหน อีกกลุ่มก็คัดค้าน นานวันก็ยิ่งเลยการวิวาทเรื่องหลักการ กลายเป็นการลุยกันเรื่องวาทะเป็นสำคัญ งานที่ทำคือจับถ้อยคำของอีกกลุ่มมาตอบโต้ ดัชนีชี้วัดความสำเร็จสำหรับผลผลิตกลายเป็น จำนวนเรื่องที่ตอบโต้อีกกลุ่มหนึ่ง ตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลายเป็นจำนวนประเด็นที่อีกกลุ่มต้องยอมจำนน ทั้งผลผลิต และผลลัพธ์เบี่ยงเบนออกไปจากการงานที่พึงกระทำ องค์กรจึงไม่มีความก้าวหน้าใด ๆเกิดขึ้นเลย

ถ้าอยู่กับแบบเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง แล้วยังหวังว่าองค์กรจะประสบความสำเร็จได้บ้าง ให้เริ่มจากการท่องคาถาว่า ความสำเร็จขององค์กรเกิดขึ้นได้จากการกระทำการงานตามพันธกิจ ไม่ใช่การเถียงกัน ซึ่งต่างกลุ่มทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อผู้นำต่างต้องกระทำงานตามพันธกิจ ถ้ายังคิดว่าทุกคนยังทำเพื่อองค์กร จะทำมากบ้าง ทำน้อยบ้าง สุดแต่ความเชื่อของแต่ละกลุ่ม กลุ่มที่เชื่อผู้นำต้องแสดงให้เห็นด้วยการกระทำว่า ตนเชื่อจริงๆ ว่าเส้นชัยที่ผู้นำประกาศไว้นั้นชอบแล้ว เหมาะแล้ว ทำให้ดูให้เห็นประจักษ์ว่าที่ท่านผู้นำชี้เส้นชัยไว้นั้น เมื่อไปถึงแล้วจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นจริงๆ อย่ามัวแต่ใช้เวลาการงานไปถกเถียงกับคนที่ไม่เชื่อ ส่วนกลุ่มที่ไม่เชื่อนั้นต้องไม่พยายามเอาเท้าไปรานำ้ ไม่เชื่อเส้นชัยของท่านผู้นำ อย่างมากที่สุดที่พึงกระทำ คืออยู่เฉย ๆ ใครอยากทำอะไร ก็ปล่อยให้เขาทำของเขาไป ไม่เห็นด้วยกับผู้นำ ไม่ได้หมายความว่าต้องคอยเตะตัดขาไปทุกเรื่อง

ถ้าเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง อย่าพยายามทำตัวเป็นองค์รักษ์พิทักษ์ความเชื่อของกลุ่ม คือไปสรรหาสารพัดประเด็นเจ็ดชั่วโคตร มาเล่นงานอีกกลุ่มหนึ่ง ให้พยายามโต้แย้งกันในเชิงหลักการ มากกว่าจะชกใต้เข้มขัดในเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นอาการของการหลงคิดตามกลุ่ม หลักการที่ต่างกัน ยิ่งโต้แย้ง ยิ่งเห็นหนทางใหม่ๆ ในทางตรงข้าม ถ้ายังโต้แย้งกันในเรื่องหลักการ เชื่อต่างกันยังต่างคนต่างทำตามที่เชื่อได้บ้าง ถ้าต่างกลุ่มต่างลงมาเล่นเกมส์พิทักษ์ความเชื่อแล้ว ต่างคนต่างเป็นศัตรู สิ่งที่จะตามมาคือ การหลงทางไปเส้นชัย มัวแต่ชกใต้เข็มขัด จนจำไม่ได้ว่าที่ตั้งใจจะไปถึงให้ได้นั้นคือที่ไหนกันแน่ ๆ

สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้ ทั้งๆ ที่เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง คือการรักษากติกาในการร่วมกันทำงานไว้ให้ได้ อย่าละลายกติกาเพื่อกำจัดอีกกลุ่มหนึ่ง กติกาเป็นฝางเส้นสุดท้ายที่จะทำให้ต่างคนต่างทำงานให้องค์กรได้ ท่ามกลางการเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ถ้าไม่มีกติกาในการร่วมกันทำงาน ก็ไม่มีการทำงานให้องค์กร มีแต่การวิวาทกันแล้วเฉไฉเรียกการวิวาทนั้นว่าการทำงานเท่านั้น