แมลงสาบ แมลงวัน กับ ผู้นำ

แมลงสาบ แมลงวัน กับ ผู้นำ

เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 นายกรัฐมนตรีดูเตอร์เต้ ของฟิลิปปินส์ กำลังพูดบนเวที เพื่อรณรงค์ประเด็นทางการเมือง

อยู่ดีๆ แมลงสาบ ตัวใหญ่ มาจากไหนก็ไม่ทราบ ออกมาปรากฎกายที่แขนซ้ายของเขา แล้วไต่ขึ้นไปบนไหล่ ก่อนจะหักมุมลงมาที่หน้าอกด้านซ้าย

คนฟังเห็นกันเต็มตา ช่างภาพมากมายกำลังบันทึกภาพ สถานการณ์เช่นนี้ถือว่าท้าทายผู้นำ ว่าควรปฎิบัติอย่างไร เพื่อให้ดูเหมาะสม

เจ้าหน้าที่สตรี วิ่งเข้ามาช่วยปัดให้ แต่ดูเตอร์เต้ไวกว่า เขาใช้มือปัดลงไปที่พื้น แล้วพูดใส่ไมโครโฟนว่า “พรรคฝ่ายค้านส่งมา” เรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังทั้งห้อง

ดูเตอร์เต้ เป็นผู้นำประเภทนักเลงเก่า กล้าพูด กล้าด่า ไม่เว้นแม้กระทั่งด่าผู้นำของชาติมหาอำนาจ เขาใช้วิธีรุนแรงปราบปรามยาเสพติด มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน มีองค์กรหลายแห่งต่อต้านเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักบวชคาทอลิก วิจารณ์เขาว่าไม่เคารพต่อชีวิตมนุษย์

เหตุการณ์ผ่านไป 2 เดือน วันหนึ่งขณะเขายืนพูดบนเวที เพื่อเปิดตัวโครงการใหม่ของรัฐ อยู่ดีๆก็มี แมลงวัน บินมาเกาะที่หน้าผาก ดูเตอร์เต้ปัดออกไป มันก็บินไปที่หู แล้วบินไปมา รบกวนอยู่บนใบหน้าหลายรอบ เขาพูดใส่ไมโครโฟนว่า “นักบวช ส่งมา”.... เรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง

แต่ในใจคงคิดว่า สองครั้งแล้วนะ เจ้าสัตว์น้อย จะอะไรกันนักกันหนากับตัวข้า มีอะไรทำไมไม่มาพูดจากันดีๆ

ไม่รู้ว่าดูเตอร์เต้ ได้สั่งเล่นงานลูกน้องใกล้ชิดบ้างหรือเปล่า หรือถือว่าเป็นเหตุบังเอิญ จะอย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนที่แล้ว มันก็เกิดขึ้นอีกจนได้ เป็นครั้งที่สาม....

คราวนี้เขากำลังพูดบนเวทีในค่ายทหาร เพื่อห้ำหั่นและไล่ล่ายาเสพติดต่อไป อยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง

“ตุ๊กแก.. ตุ๊กแก.. ตุ๊กแก..” เสียงดังมากจนคนได้ยินทั้งห้อง ผู้ฟังยิ้ม แต่ไม่กล้าหัวเราะ ส่วนดูเตอร์เต้ หยุดพูด แล้วหันกลับไปมองตามเสียงนั้น และพูดออกมาดังๆว่า “ฝ่ายต่อต้านผม ส่งไอ้ตัวนี้มา” เรียกเสียงหัวเราะดังๆจากผู้ฟังได้อีกครั้ง

แมลงสาบ มาเกาะ ก็เป็นข่าวแซวเล็กๆ พอ แมลงวัน มาวุ่นวายบนใบหน้า ข่าวก็ใหญ่ขึ้น คราวนี้ ตุ๊กแก ตัวใหญ่มาเอง ส่งเสียงดังทั้งห้อง และทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ข่าวเลยกระจายไปทั่วโลก

ที่น่าจะเดาได้ก็คือ ผู้คนใกล้ชิดของเขาคงหวาดผวา และพยายามหามาตรการป้องกันมิให้เกิดเหตุเช่นนี้อีก ในครั้งต่อๆไป

ดูเตอร์เต้เอง ก็คงจะผวาอยู่ในใจเหมือนกันว่า ครั้งต่อไปเขาจะเจอกับอะไรอีก ใครจะไปรู้ได้ อาจเป็น กิ้งก่า กระโดดแผล็ว ลงมาจากผ้าม่านเหนือเวที หรืออาจเป็น งูเขียว เลื้อยฉวัดเฉวียนผ่านหน้าโพเดียมก็ได้นะ แล้วถ้ามันเกิดเลี้ยวลงจากเวที พุ่งตรงไปที่ผู้ฟัง ลองหลับตานึกภาพในหอประชุมก็แล้วกัน....

ความจริง มนุษย์กับสัตว์ เป็นเพื่อนร่วมโลกกัน การพบปะกันอย่างนี้ ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ แต่จะตีความอย่างไร ก็แล้วแต่วัฒนธรรมและความเชื่อ เช่น นายกรัฐมนตรีไทย ก็พบมาแล้วเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ หลังเลือกตั้งเสร็จใหม่ๆ

วันนั้นท่านนายกฯ เดินเข้าทำเนียบ แล้วมี แมว ตัวหนึ่ง วิ่งตัดหน้าไปเฉยๆ ท่ามกลางผู้ติดตามและนักข่าวมากมาย เจ้าแมวตัวนี้ใช้เวลาวิ่งผ่าน แค่ 2-3 วินาทีเท่่านั้นเอง ไม่ได้แตะต้องตัวท่านนายกฯเลย แต่คนไทย....ก็ต้องตีความ

วันนั้น นายกฯของเรา ใช้ไหวพริบตอบนักข่าวว่า แมวก็ต้องจับหนู ซึ่งหนูที่เป็นข่าวในขณะนั้น คือคนชื่อ หนู ที่คาดว่ากำลังจะมาร่วมทีมรัฐบาล อย่างนี้ถือว่า ออกได้สวย สบายๆ ไม่ซีเรียส

แต่สัตว์ที่คนในทำเนียบและรัฐสภาฯ เจอบ่อยๆ มักไม่ใช่แมว แต่คือ ตัวเงินตัวทอง ซึ่งบางทีก็มาเอง บางทีก็มีใครนำมาปล่อย เพื่อส่งสัญญาณบางอย่าง

ผู้นำอีกคนหนึ่ง ที่พูดถึง แมว จนเลื่องลือไปทั้งโลก ก็คือผู้นำที่พูดว่า แมวสีดำหรือสีขาว ก็จับหนูได้ทั้งนั้น ใช่แล้วครับ เติ้ง เสี่ยว ผิง

อีกไม่กี่วัน ผมจะไปยัง เมืองที่ เติ้ง เสี่ยว ผิง เคยส่งแมวไปจับหนู เป็นพื้นที่ไร้ความเจริญ แทบไม่มีอะไรให้เห็น หนูแถวนั้น คงเป็นหนูตัวเล็กๆ ที่ผอมแห้ง อดอยาก แทบไม่มีเนื้อหนังมังสาให้เห็น

เพราะเป็นพื้นที่ของชาวประมงยากจน เมื่อ เติ้ง เสี่ยว ผิง มองไปทาง ฝั่งตรงกันข้าม เขาเห็นตึกสูงมากมาย เห็นความเจริญระดับโลก เขาประกาศว่าเขาจะสร้างพื้นที่ตรงนี้ ให้เทียบเท่า “ฝั่งโน้นให้ได้

แมวที่เขาส่งไปนั้น เป็นคนละสีกับแมวที่ปักกิ่งแน่ๆ เพราะแมวที่ปักกิ่ง ทำมาหากินแบบคอมมิวนิสต์ แต่แมวตัวนี้ เติ้ง บอกให้ไปหากินด้วยวิธีของ “ฝั่งโน้น” ผลก็คือ ไม่กี่สิบปีผ่านไป เมืองชาวประมงยากจนที่ชื่อว่า เสิ่นเจิ้น กลายเป็นเมืองที่ทันสมัยในทุกด้าน รวมทั้งด้านเทคโนโลยีที่กำลังท้าทาย ซิลิคอน แวลลี่ ของอเมริกาอยู่ในขณะนี้

ส่วน ฝั่งโน้น ที่เติ้ง เคยยืนมองด้วยความไผ่ฝัน มีชื่อว่า “ฮ่องกง” ซึ่งวันนี้กลับวุ่นวายและส่อเค้าว่า อาจเริ่มเสื่อมสลายได้

ประเทศไทยเรา ก็เลือกแมวสีเดียวกับที่ เติ้ง เสี่ยว ผิง นำไปใช้งานนั่นแหละ เราไม่เคยเปลี่ยนสีแมวเลย เพียงแต่เราเสียเวลาสู้กัน ทะเลาะกัน แบบไม่มีวันจบสิ้น จนแมวสับสนอลหม่าน ทำงานทำการอะไรก็ไม่ค่อยจะได้ผล เพราะแมวของเรา สาระวนอยู่กับการ “วิ่งไล่งับหางตัวเอง” เท่านั้นเอง

เลือกตั้งผ่านไปนานแล้ว แต่อะไรก็ยังดูวุ่นวาย วาทกรรมหลากหลายจากทุกค่าย ยังพรั่งพรู และดูทีท่าว่าจะคลายปมค่อนข้างยาก อย่าโทษแมวเชียวนะ โทษคนนั่นแหละ

แล้วถ้าหาก แมลง-สาบ ออกมาไต่แขนผู้นำของเราเหมือนที่ฟิลิปินส์บ้างล่ะ เราจะตีความว่าอย่างไร เผลอๆ​ “หมอดู” อาจตีความว่า เพราะ แมลง-สาป...ไงล่ะ เราจึงเป็นเช่นนี้...

ก็เป็นไปได้นะ!