ซื้อหุ้นพีอีต่ำ&ปันผลสูง ทำไม ? ราคาหุ้นลง

ซื้อหุ้นพีอีต่ำ&ปันผลสูง ทำไม ? ราคาหุ้นลง

หุ้นที่ราคาปรับลดลงและค่าพีอีที่ต่ำลงกว่าปกติ เป็นการสะท้อนว่า หุ้นบริษัทนั้นๆกำลังหมดเสน่ห์ในสายตาของนักลงทุน

นักลงทุนหลายท่านอาจไม่เข้าใจ อ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาหลายเล่ม เรามักจะได้รับคำแนะนำ มองซื้อหุ้นที่ ราคาเทียบกับกำไร (P/E) ต่ำ และอัตราเงินปันผลสูง ซึ่งก็ฟังเป็นเหตุผลเข้าใจได้ง่าย ปฎิบัติก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ทำไมพอร์ตลงทุนตัวเองไม่ได้กำไรตามที่คาดหวัง

การซื้อหุ้นนั้นง่าย แต่การขายหุ้นนั้นยากกว่า นี่คือประโยคติดปากสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นโดยทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจาก การดัดสินใจซื้อหุ้นมักเกิดจากข้อมูลหรือข้อคิดที่นักลงทุนได้รับฟังแล้วรู้สึกตรงกับสิ่งที่ตัวเองคิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามที่นักลงทุนหวัง และคนที่เคยแนะนำให้ซื้อหุ้นบริษัทก็เงียบหายไป เหลือไว้แต่ความสงสัย สับสน
ในสถานะปัจจุบัน หุ้นที่ค่าพีอีสูง (หมายถึงค่าพีอีมากกว่า 20 เท่า) เทียบกับพีอีตลาดหุ้นไทยที่ 16 เท่า ราคาหุ้นกลับวิ่งขึ้นอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเลย ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นว่าเล่น และนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าซื้อหุ้นเหล่านี้ มันเกิดอะไรขึ้นในตลาดหุ้นไทย

หากนักลงทุนสังเกตเพิ่มเติม เราจะพบว่า ราคาหุ้นที่สะท้อนค่าพีอีลดลงจาก ราคาหุ้นปรับตัวลง มักจะมีประเด็นข่าวลบเข้ามาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกำไรที่ประกาศออกมาลดลง บริษัทไม่สามารถชนะการประมูล หรือ การตัดขาดทุนจากเงินลงทุน เช่นนี้เป็นต้น
การมองหา หุ้นที่ราคาปรับลดลงและค่าพีอีที่ต่ำลงกว่าปกติ เป็นการสะท้อนว่า หุ้นบริษัทนั้นๆกำลังหมดเสน่ห์ในสายตาของนักลงทุนซึ่งหากเป็นประเด็นชั่วคราว ราคาหุ้นก็อาจสร้างโอกาสสำหรับการลงทุนที่ดีได้ในระยะสั้น 2-4 สัปดาห์ แต่หากการปรับตัวลงของราคาหุ้นสอดคล้องกับกำไรของบริษัทที่กำลังหดตัว แต่ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า กำไรจะฟื้นตัวได้ด้วยเหตุผลใด เมื่อไร ดังนั้น การปรับตัวลงของราคาหุ้นมักกินระยะเวลานานมากขึ้นอาจนานถึง 12-18 เดือน ซึ่งหากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนในระยะเวลา 1 เดือนก็คงผิดคาดแน่นอน

ดังนั้น การตัดสินใจซื้อลงทุนในหุ้นที่ราคาปรับลง และค่าพีอีถูกอย่างเดียว ต่ำกว่า 10 เท่าขณะที่ค่าพีอีตลาดหุ้นไทยโดยรวมเท่ากับ 16 เท่าอาจไม่ใช่วิธีการลงทุนที่เหมาะสมถูกต้องเสมอไป สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญอันดับแรกก่อนการมองเรื่องมูลค่าพีอีต่ำ/สูงคือ ทิศทางของกำไรบริษัทนั้นควรเป็นการขยายตัวโตขึ้น แล้วจึงค่อยพิจารณาเพิ่มเติมว่า มูลค่าพีอีนั้นแพงกว่าเกินที่เราประเมินว่าเหมาะสมหรือไม่

แน่นอนครับ การขีดเส้นค่าพีอีที่เหมาะสมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกระบวนการประเมินมูลค่าที่ต้องใช้ทักษะความรู้ด้านการเงิน ประสบการณ์ ความเข้าใจในธุรกิจนั้นๆ รวมทั้งการประเมินแนวโน้มกำไรในอนาคต นอกจากนี้ จำนวนบริษัท หรือขนาดบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดนั้นมากน้อยเพียงใด ปัจจัยต่างๆเหล่านี้สร้างความไม่แน่นอนในการลงทุน เมื่อบริษัทไม่สามารถสร้างกำไรได้ตามที่นักลงทุนคาดหวัง ราคาหุ้นย่อมถูกเทขายได้เป็นเรื่องปกติ

สิ่งที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจเพิ่มเติม อัตราเงินปันผลในอดีต ไม่อาจรับรองอัตราเงินปันผลอนาคตหากธุรกิจของบริษัทนั้นแย่ลง ยอดขาย/กำไรปรับตัวลง กำไรที่จ่ายออกมาเป็นเงินปันผลก็จะลดลงไปด้วย

สำหรับโปรแกรม Trade Master (TM) ของบมจ. หลักทรัพย์บัวหลวงที่เปิดตัวไปสามารถแก้ปัญหาสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเราสามารถเห็นทิศทางของกำไรบริษัทที่เราสนใจลงทุนว่าอยู่ทิศทางใด ประกอบกับ ค่าพีอี/สัดส่วนมูลค่าราคาเทียบกับบัญชี นั้นอยู่สูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย จะทำให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้นที่มูลค่าถูกได้อย่างเหมาะสมมากขึ้นครับ