ต้องเห็น “คุณค่า” และอยู่ในที่อันควร​​

ต้องเห็น “คุณค่า” และอยู่ในที่อันควร​​

คนและสิ่งของจะมีคุณค่าหรือไม่ มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับว่ามีการเห็นคุณค่าหรือไม่และประการสำคัญมันอยู่ในที่ๆ ควรอยู่หรือไม่

ผู้เขียนมีสองเรื่องที่แสดงให้เห็นประเด็นการเห็นคุณค่าและการอยู่ในที่สมควรอยู่

เรื่องแรก ได้มาจาก“นุสนธิ์บุคส์”ในอินเตอร์เน็ต เรื่องมีอยู่ว่าในตลาดขายของเก่า แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านได้หยิบไวโอลินเก่าๆตัวหนึ่งขึ้นมาประกาศขาย “ไวโอลินเก่าตัวนี้ราคา 1,000บาท ขาดตัว ลูกค้าท่านใดสนใจเดินตรงเข้ามาเลยครับ”

ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาและหยิบไวโอลินทั้งเก่าทั้งโทรมตัวนั้นขึ้นมาดู เขาลองสีดูปรากฏว่าเสียงของมันบาดหูมากเขาจึงตัดสินใจวางมันลงไว้ที่เดิม

เมื่อผ่านเวลาไปได้ครึ่งชั่วโมง เจ้าของร้านก็ได้ประกาศขึ้นอีกครั้งว่า “ไวโอลินเก่า ตัวนี้ราคา 500 บาทขาดตัว ลูกค้าท่านใดสนใจเดินตรงเข้ามาเลยครับ” แต่ก็ยังไร้วี่แววคนสนใจ จนเจ้าของร้านได้ประกาศเป็นรอบที่3ว่า“ไวโอลินเก่าตัวนี้ราคา 100 บาทขาดตัว ลูกค้าท่านใดสนใจเดินตรงเข้ามาเลยครับ”

ชายชราผมขาวคนหนึ่งเดินมาหยุดหน้าร้าน จากนั้นก็หยิบไวโอลินขึ้นมาดู เขาใช้ผ้าที่อยู่ในมือของเขาบรรจงเช็ดลงไปที่ไวโอลินเครื่องนั้นด้วยความทะนุถนอม ครู่ต่อมาไวโอลินตัวนั้นก็มีสีสันมันวาวขึ้นมา มันดูดีขึ้นมาในทันที ชายชราปรับสายไวโอลินแต่ละเส้นด้วยความตั้งใจ จากนั้นก็นำมาทาบที่คางของเขาแล้วบรรจงสีไวโอลินตัวนั้น

เสียงของไวโอลินกังวานก้องจนเจ้าของร้านประหลาดใจ “คุณทำได้ยังไง?” เขาเอ่ยถาม ชายชรา “ทุกสิ่งในโลกใบนี้ล้วนมีคุณค่าในตัวของมันเองอยู่ที่ว่าใครจะเห็นคุณค่าของมันหรือไม่” ชายชราตอบ

“คุณลุงช่วยสีไวโอลินนี้ให้ผมอีกครั้งได้ไหมครับ” ชายชราพยักหน้า จากนั้นก็สีไวโอลินให้ผู้คนที่เดินเลือกซื้อของเก่าในตลาดฟัง “ผมให้ราคาหนึ่งพันบาทตามที่คุณประกาศตอนแรก” ลูกค้าชายคนหนึ่งเสนอขึ้น “ผมให้ราคาสองพันบาทมากกว่าที่คุณประกาศตอนแรก” ลูกค้าชายคนที่สองเอ่ยขึ้น “ฉันให้ราคาสามพันบาท สามีของฉันต้องชอบมันแน่ๆ” ลูกค้าชายคนหนึ่งเสนอ จนสุดท้าย ราคาไวโอลินตัวนี้ถูกขายในราคา5,999บาท จากราคาเดิมที่100บาท

ไวโอลินเก่าตัวหนึ่งเมื่อมันอยู่ในมือของนักเล่นที่เห็นคุณค่ามันกลายเป็นไวโอลินที่ทรงคุณค่าและมีราคากลับกันหากมันอยู่ในร้านขายของเก่าอย่างไม่มีคนสนใจ มันก็ไม่ต่างอะไรจากไวโอลินเก่าๆธรรมดาตัวหนึ่งที่หาราคาค่างวดอะไรไม่ได้

ม้าตัวหนึ่งเมื่อมันอยู่กับชาวไร่ คุณค่าของมันก็คือพาหนะที่ช่วยขนย้ายพืชผล แต่หากมันอยู่กับแม่ทัพ มันก็กลายเป็นม้าศึกคู่ใจแม่ทัพคุณค่าของมันก็คือม้านักรบของที่มีคุณค่าต้องอยู่กับคนที่เห็นคุณค่า

เรื่องที่สอง  ผู้เขียนนำมาจากข้อเขียนของตนเองจากนิตยสาร ALL “ของจะมีค่าต้องอยู่ในที่ที่ควรต้องอยู่” เป็นคำกล่าวของศาสตราจารย์ศิลป์พีระศรี ปูชนียบุคคลของศิลปะไทย

ลองคิดดูว่าถ้าพระพุทธรูปที่ควรแก่การกราบไหว้บูชาไม่อยู่บนหิ้ง หากไปวางอยู่บนส้วมหรือวางอยู่ที่พื้นในห้องเก็บของ ก็หมดความมีค่าไปทันที เนื่องจากมิได้อยู่ในที่ที่ควรต้องอยู่ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าบุคคลหนึ่งสมควรแห่งการทำตนในลักษณะหนึ่งแต่ไม่กระทำก็จะกลายเป็นของไม่มีค่าไป

ในครอบครัวหนึ่งหากคนที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าปู่ย่าตายาย พ่อแม่พี่ป้าน้าอา ต้องการ เป็นสิ่ง “มีค่า” ในใจของลูกหลานอย่างแท้จริงแล้ว ต้องอยู่ในที่ที่ควรต้องอยู่ กล่าวคือต้องทำหน้าที่ของตนอย่างสมแห่งการดำรงฐานะนั้นๆ

หากทำตัวไร้คุณธรรมและไร้ความรับผิดชอบ ความมีค่าก็จะหมดไปในใจของทุกคน ภายนอกอาจจะไม่มีใครกล่าวถึงแต่ลึกเข้าไปในใจแล้ว บุคคลผู้นั้นสิ้นความ“มีค่า”อย่างแท้จริงเพราะมิได้อยู่ในที่ที่ควรต้องอยู่

ทุกคนสามารถทำให้ตนเองเป็นสิ่ง“มีค่า”ได้เสมอตราบที่อยู่ในที่ที่ควรต้องอยู่ ครูบาอาจารย์หัวหน้างานและผู้ใหญ่ต้องทำตนเองเป็น“ผู้ใหญ่”ให้ผู้อื่นเคารพกราบไหว้ได้อย่าง สนิทใจ พระพุทธรูปต้องอยู่ที่ที่ควรต้องอยู่ฉันใด บุคคลเหล่านี้ก็ต้องอยู่ในที่ควรต้องอยู่ฉันนั้นจึงจักได้รับการเคารพอย่างแท้จริง

การมีคุณค่านอกจากจะต้องเกิดจากการเห็นคุณค่าแล้ว ยังต้องอยู่ในที่ที่ควรต้องอยู่ด้วยโดยต้องรู้ว่าที่ที่ควรต้องอยู่นั้นมีลักษณะใดและต้องทำตัวอย่างไรจึงจะถือว่าอยู่ในที่นั้น