เป็นก่อนรู้ รู้จริงก่อนทำ

เป็นก่อนรู้ รู้จริงก่อนทำ

มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ตีพิมพ์มาเกือบ 20 ปีมาแล้ว ที่เรียบเรียงมาจากความรู้ของคนหลายคน ที่เคยสอนที่โรงเรียนนายร้อยWest Point

โดยมีการกล่าวนำไว้อย่างน่าสนใจว่า ทำไมการฝึกเรื่องการนำองค์กรจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษที่โรงเรียนนั้น คำตอบที่หนังสือบอกไว้คือ ถ้าเป็นการนำองค์กรที่ผิดพลาดแล้ว ความเสียหายจำกัดอยู่เพียงเงินตรา และความคงอยู่ขององค์กร แม้การนำองค์กรจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่จะไม่สำคัญเท่ากับการนำองค์กรที่เมื่อผิดพลาดแล้ว คนอาจจะเป็นจะตายได้ ผิดพลาดแล้ว ประเทศล่มจมได้ และเน้นว่าการนำองค์กรในบริบทที่พลาดแล้ว เกิดเรื่องใหญ่กับคน และบ้านเมือง จำเป็นต้องเป็นการนำที่พลาดได้น้อยที่สุด

หนังสือบอกว่า จะนำให้พลาดน้อยที่สุดนั้น คนนำต้องยึดหลักสำคัญไว้ 3 ประการ คือ Be - Know - Do ควบคู่กับการยึดมั่นในหลักความจริงที่เป็นอมตะ สองประการ ได้แก่ ไม่มีใครสามารถพยากรณ์อนาคต ในระยะกลาง และระยะยาว ได้อย่างแม่นยำ 100% และความสำเร็จเชิงกลยุทธ์จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีทีมคนเก่งที่ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ขยายความให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า ก่อนจะนำองค์กรไปทางไหน ต้องนำตัวตนของตนเองให้ได้ก่อน เริ่มจากระดับแรก คือต้องทำอะไรสักอย่างได้เป็นเรื่องเป็นราวด้วยตนเอง ไม่ใช่แค่สั่งอย่างเดียว คนนั้นก็เริ่มมีแววจะกลายเป็นผู้นำได้ เพราะคนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่ส่งมอบให้กับองค์กร จากฝีมือจริงๆ ของเขาได้ คนนั้นย่อมจะได้รับความเชื่อมั่นจากผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น องค์กรอาจจะได้บางอย่างที่ดีจากผู้นำ เพิ่มเติมจากการสั่งการ หนังสือบอกว่า การสั่งการโดยคนที่ไม่รู้เรื่อง สั่งโดยคนที่ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็นสักอย่าง มีโอกาสจะกลายเป็นการนำที่ผิดพลาด อาจมีคนเจ็บคนตาย อาจมีความเสียหายยับเยินเกิดขึ้นกับองค์กรได้อย่างง่ายดาย

ระดับถัดไป จากการทำอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์กับองค์กร ขยับไปสู่การเป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งในทีมที่ทำงานด้วยกัน ใครในทีมจะทำอะไร มักจะนึกถึงเราเสมอ เราขยับจากการเป็นเพียงคนทำงานอีกคนหนึ่ง กลายเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของทีมงาน ขยับจากการทำงานแบบ Nobody มาเป็น Somebody ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า เมื่อตัวเรากลายเป็นตัวช่วยสำคัญในบางเรื่อง เราย่อมเริ่มมีบทบาทในการนำองค์กรบ้างแล้วไม่มากก็น้อย เรามีความเป็นBeอย่างชัดเจนขึ้นแล้ว นึกไว้เสมอว่าการนำในเรื่องที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ มีประสิทธิผลมากกว่านำองค์กร โดยคนที่ทำอะไรไม่ได้ นอกไปจากการชี้นิ้วสั่ง

จากสมาชิกคนสำคัญของทีมงาน ยกระดับตนเองขึ้นเป็นคนสำคัญที่มีบทบาทในการจัดการให้การดำเนินงานก้าวหน้าไปสู่เส้นชัยได้ คนที่จัดการได้ หมายถึง ต้องวางแผนเป็น ต้องจัดทัพ จัดโครงสร้างองค์กรได้ ต้องบอกให้ใครทำอะไรในแผนที่วางไว้ได้ ต้องเดินหน้านำให้เกิดการดำเนินงานได้ ต้องควบคุมให้ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่ให้ทำ กับสิ่งที่ทำได้จริง เข้าใกล้ศูนย์ คือแทบจะไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นเลย เราจะขยับจาก Be มาเป็น Know แล้ว คือรู้แล้วว่าเรื่องนั้น องค์กรนั้นมีการงานอะไรบ้าง และรู้ว่าจะจัดการให้งานนั้นบรรลุผล ได้อย่างไร ถ้ายังไม่รู้ว่าเรื่องนั้น วงการนั้นอะไรเป็นอย่างไร อย่าพยายามไปนำใครต่อใครในเรื่องนั้นเด็ดขาด ไม่งั้นจะแย่ยิ่งกว่าปิดตาคลำช้างเสียอีก

จากรู้ Know ไปสู่การนำให้เกิดการทำได้ Do คือสามารถถ่ายทอดแผนการที่กำหนดไว้ไปสู่ผู้ลงมือปฏิบัติได้ ซึ่งไม่ใช่แค่การสั่งการ แต่เป็นการบอกกล่าวว่าจะไปทางไหน ไปด้วยวิธีใด เริ่มเคลื่อนทัพตรงไหนก่อนหลัง พร้อมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่สนับสนุนให้คนทำงานได้อย่างสบายอกสบายใจ ทำงานไปได้โดยไม่ต้องเกรงว่าจะมีใครมายุบหน่วยงานนั้นหรือไม่

เหนือชั้นขึ้นไปอีก คือ Do เพื่อองค์กรมากกว่าตนเอง Do แล้วทำให้บุคลากรมีสุข มีการพัฒนา มีชีวิตที่ดีขึ้น Doแล้วผู้คนที่เกี่ยวข้องกลุ่มอื่น ๆ ต่างได้อะไรสักอย่างหนึ่งที่ดีขึ้นโดยทั่วหน้า

นำองค์กรด้วย Be-Know-DO ให้ครบ งานจบลงด้วยความสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ถ้านำแบบ ชี้นิ้ว-มั่วทุกเรื่อง-ตัวกูมาก่อน งานจบลงด้วยความย่อยยับของทั้งคน ทั้งองค์กร ไม่ช้าก็เร็ว