เราจะทำให้รัฐวิสาหกิจดีขึ้นได้อย่างไร

เราจะทำให้รัฐวิสาหกิจดีขึ้นได้อย่างไร

อาทิตย์ที่แล้ว ผมรับเชิญในการเสวนาหัวข้อ “มารยาทหรือจรรยาบรรณช่วยชาติได้มากกว่า ? กรณีเปลี่ยนบอร์ดรัฐวิสาหกิจกับการเมือง”

ร่วมกับคุณบรรยง พงษ์พานิช บริษัทหลักทรัพย์ภัทร์ จำกัด(มหาชน) คุณประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) และดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) โดยมี ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย) เป็นผู้ดำเนินการเสวนา โดย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย)

การเสวนามาจากข่าวที่นักการเมืองในรัฐบาลจะเปลี่ยนบอร์ดรัฐวิสาหกิจ โดยอ้างว่าเป็นมารยาทของบอร์ดรัฐวิสาหกิจจะต้องลาออก จึงเกิดข้อสงสัยว่า จำเป็นหรือไม่ เป็นมารยาทของใครหรือเป็นผลประโยชน์ของนักการเมือง ประกอบกับพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ปี 2562 ได้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จึงควรต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับสังคมในประเด็นนี้ ซึ่งผมเห็นด้วย จึงตอบรับคำเชิญเข้าร่วมเสวนา

เป็นที่ทราบกัน นักการเมืองมักใช้อำนาจที่มีตามกฎหมายในฐานะรัฐมนตรี ใช้ตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจให้ประโยชน์ต่างตอบแทนแก่กลุ่มคนที่เป็นพวกพ้อง หรือส่งคนของตนเข้าไปเพื่อหาประโยชน์ เป็นปัญหาดั้งเดิมของรัฐวิสาหกิจไทย ทำให้รัฐวิสาหกิจมีปัญหาขาดทุนเรื้อรังจากการใช้อำนาจดังกล่าว ทั้งเพื่อหาประโยชน์และหรือต้องการใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือหาเสียงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เช่น ประกาศลดอัตราค่าโดยสาร ให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ล็อคสเปคการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้ประโยชน์บริษัทที่ใกล้ชิด ทำกันมาต่อเนื่อง จนรัฐวิสาหกิจไม่สามารถทำหน้าที่เพื่อประชาชนตามวัตถุประสงค์ขององค์กรสร้างความเสียหายให้กับรัฐวิสาหกิจและประเทศ ในเรื่องนี้ ข้อสรุปของผมคือ ปัญหารัฐวิสาหกิจอยู่ที่คนเป็นสำคัญ ทั้งนักการเมือง กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานรัฐวิสาหกิจบางส่วน ที่มุ่งใช้รัฐวิสาหกิจเพื่อประโยชน์ของตนเองมากกว่าที่จะทำให้พันธกิจหรือวัตถุประสงค์ของรัฐวิสาหกิจประสบความสำเร็จ ทำให้รัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะในธุรกิจที่ให้บริการประชาชนจะขาดทุน ที่พอจะมีกำไร หรือกำไรดี ส่วนใหญ่ก็มาจากอำนาจผูกขาดทางธุรกิจที่มากับการจัดตั้งองค์กร ทำให้ไม่มีการแข่งขัน หรือมีการแข่งขันน้อย ขณะที่ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ก็ชอบที่จะตามใจและเอาใจนักการเมืองที่เข้ามาควบคุมจนบางคนได้ดิบได้ดีกลายเป็นนักการเมืองกลายเป็นรัฐมนตรีไปด้วย ดังนั้น ปัญหารัฐวิสาหกิจในบ้านเราจึงอยู่ที่คน ที่เข้ามารับผิดชอบงานในองค์กรสาธารณะ แต่ไม่พร้อมที่จะรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม

ในการเสวนา ผมได้ให้ความเห็นว่า การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจต้องเริ่มที่คน โดยวางระบบเพื่อให้คนดีที่มีความรู้ความสามารถ เข้ามาทำงานในรัฐวิสาหกิจเพื่อให้รัฐวิสาหกิจเป็นองค์กรที่ทำงานอย่างมืออาชีพ ทั้งในระดับคณะกรรมการที่เป็นจุดสูงสุดขององค์กรที่กำกับดูแลธุรกิจและระดับบริหารและพนักงานที่จะอยู่กับองค์กรต่อไป ที่ต้องรู้เรื่องและมีวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์สาธารณะ มีจิตสำนึกในการทำหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ที่สำคัญ คือ มีระบบการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการเพื่อลดการแทรกแซงของนักการเมือง ทั้งในระดับนโยบายและในการส่งคนของตนเข้าไปบริหาร เข้าไปเป็นกรรมการเพื่อหาประโยชน์

รัฐวิสาหกิจ โดยพื้นฐานแล้ว คือ องค์กรที่ทำธุรกิจ เพียงแต่เจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นรัฐบาล ที่ตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาจากภาษีของประชาชนเพื่อประกอบธุรกิจที่มีความสำคัญต่อประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน และเมื่อเป็นธุรกิจ ความล้มเหลวของรัฐวิสาหกิจก็ไม่ต่างจากความล้มเหลวของบริษัทเอกชนทั่วไป คือ มาจากคณะกรรมการที่ไม่ทำหน้าที่ จนรัฐวิสาหกิจเสียหาย และถ้าเราดูสาเหตุหลักที่นำไปสู่ความล้มเหลวในการทำหน้าที่ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ สาเหตุก็จะไม่ต่างจากกรณีบริษัทเอกชนทั่วไป คือ

หนึ่ง กรรมการไม่มีความรู้ ความสามารถที่จะกำกับดูแลธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอง กรรมการที่เข้าไปทำหน้าที่มีวาระซ่อนเร้น มีประเด็นผลประโยชน์ขัดแย้งที่ต้องการใช้รัฐวิสาหกิจหาประโยชน์ นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด การจัดซื้อจัดจ้างหรือการลงทุนที่ไม่จำเป็น หรือแพงเกินไป สร้างความเสียหายให้กับรัฐวิสาหกิจ สาม ผู้ที่เข้าไปนั่งเป็นกรรมการ ไม่ทำหน้าที่ ไปแต่ชื่อรับเบี้ยประชุมและผลประโยชน์ของการเป็นกรรมการ แต่ไม่กำกับดูแลฝ่ายบริหารอย่างจริงจัง ผลคือ ประธานหรือซีอีโอเป็นใหญ่ สามารถทำอะไรก็ได้เพราะไม่มีการกำกับดูแล เกิดการละเมิดหรือใช้อำนาจอย่างไม่เหมาะสมจนสร้างความเสียหายให้กับรัฐวิสาหกิจ

นี่คือ ปัญหาที่มีอยู่ และสำหรับการแก้ไขปัญหา ความเห็นของผมก็คือ

หนึ่ง ในการแต่งตั้งกรรมการต้องวางระบบในการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการที่จะลดการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจตามกฎหมายในการแต่งตั้ง ซึ่ง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ฉบับ ปี 2562 จะสามารถช่วยได้ ซึ่งผมสมัยเป็นกรรมการผู้อำนวยการไอโอดี ก็ได้เป็นกรรมการชุดธรรมาภิบาล ที่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยเสนอให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง เสนอชื่อบุคคลที่สมควรเป็นกรรมการให้คณะกรรมการกลั่นกรองรายชื่อ ซึ่งจะเป็นกรรมการจากภายนอกที่จะตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ พิจารณาตัดทอนรายชื่อให้เหลือเท่ากับหรือเป็นสองเท่าของตำแหน่งกรรมการที่ว่าง และรัฐมนตรีที่มีอำนาจแต่งตั้งจะต้องพิจารณาแต่งตั้งกรรมการจากรายชื่อที่คณะกรรมการกลั่นกรองรายชื่อเสนอเท่านั้น ไม่สามารถเลือกคนแบบตามใจได้เหมือนในอดีต ถ้าไปแบบนี้ คิดว่า พ.ร.บ.ฉบับใหม่จะช่วยลดทอนปัญหาการแทรกแซงของนักการเมืองได้ระดับหนึ่ง

สอง ต้องสร้างความมั่นใจว่า ผู้ที่จะมารับตำแหน่งกรรมการ รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหน่วยราชการ ต้องมีความรู้ ความสามารถที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งแนวทางที่ใช้กันก็คือ ระบุทักษะของกรรมการที่คณะกรรมการควรมี โดยเน้นความหลากหลายในความรู้ความสามารถ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อยุทธศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจ สามารถให้เวลา และให้ความเห็นอย่างเป็นอิสระเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีของคณะกรรมการ

สาม คณะกรรมการมีแนวปฏิบัติที่ดีในการทำหน้าที่ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อนำไปสู่การทำงานที่มีมาตรฐานเป็นที่ไว้วางใจและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น แนวปฏิบัติที่ดีด้านธรรมาภิบาลขององค์กรไม่แสวงหากำไรสำหรับกรรมการและผู้บริหาร ออกโดยมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลสำหรับองค์กรไม่แสวงหากำไร เช่น มูลนิธิ สมาคม สถาบันศาสนา สหกรณ์ออมทรัพย์ แนวปฏิบัติดังกล่าวสามารถนำมาปรับใช้กับรัฐวิสาหกิจได้ เพราะรัฐวิสาหกิจเป็นองค์กรที่มีเป้าหมายสาธารณะ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อพันธกิจของส่วนรวม

อีกประเด็นที่สำคัญและผมได้ย้ำในงานเสวนา คือ ความสำคัญที่ผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ต้องมีสำนึกในการทำหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องรักษาประโยชน์ของประเทศและส่วนรวม เพราะคณะกรรมการเปลี่ยนได้ ซีอีโอเปลี่ยนได้ แต่ผู้บริหารและพนักงานต้องอยู่กับรัฐวิสาหกิจไปอีกนาน ดังนั้น ถ้าพนักงานไม่มีความหวงแหนในสมบัติของประเทศ มุ่งแต่จะหาประโยชน์ หรือเปิดช่องทางให้บริษัทเอกชนที่เป็นกลุ่มอิทธิพลหาประโยชน์ รัฐวิสาหกิจก็จะเสียหาย และประชาชนก็จะเสียหาย เพราะผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม แต่ทำงานเพื่อประโยชน์ของบริษัทเอกชน ผิดจิตสำนึกของการเป็นข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ

นี่คือความเห็นของผมในเรื่องนี้