เงินบริจาค ยุ่งยากกว่าที่คิด

เงินบริจาค ยุ่งยากกว่าที่คิด

ในขณะที่คนไทยรวบรวมเงินบริจาค เพื่อนำไปบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องร่วมชาติ จากสาเหตุน้ำท่วมหนัก

 มหาวิทยาลัยระดับโลกสองแห่ง กลับต้องเดือดร้อน เพราะได้รับเงินบริจาค

 ที่เดือดร้อนก็เพราะ ผู้บริจาคคนหนึ่ง มีปัญหาใหญ่หลวงเกิดขึ้นในชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้มาขอเงินคืนนะครับ ปัญหาชีวิตของเขา ทำให้ผู้รับบริจาคเก้าอี้ร้อนกันเป็นแถว

 Harvard และ MIT คือมหาวิทยาลัยโด่งดังที่ได้รับผลกระทบ ทั้งสองแห่งนี้ผลิตผู้นำระดับชาติและระดับโลก รวมทั้งนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก จึงได้รับเงินบริจาคมากมายตลอดเวลา จากศิษย์เก่าที่ร่ำรวย และเศรษฐีใจบุญทั้งหลาย 

 หนุ่มใหญ่คนหนึ่ง ได้บริจาคเงินให้ทั้งสองแห่งนี้ มานานหลายสิบปีแล้ว เขาเป็นเศรษฐีผู้โด่งดังในวงการเงิน ใช้ชีวิตหรูหราในสังคมชั้นสูงของนิวยอร์ค และ เคยพูดถึง โดนัลด์ ทรัมพ์ ว่าเป็น เพื่อนกัน" 

 หนุ่มใหญ่วัย 66 ปีคนนี้ มีชื่อว่า Jeffrey Epstein ซึ่งเมื่อปี 2008 ถูกจับดำเนินคดี และติดคุกอยู่นาน 13 เดือน หลังจากที่ออกมาใช้ชีวิตภายนอก เขาก็ถูกดำเนินคดีอีก และต้องติดคุกอีกครั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 ที่ผ่านมานี้เอง 

 ติดคุกคราวนี้ Epstein ไม่ได้ออกมาจากคุกครับ ไม่ใช่เพราะต้องติดคุกตลอดชีวิต แต่เพราะเขาแขวนคอตายในคุก เมื่อกลางเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมานี้ การที่เขาเป็นคนดังระดับนานาชาติ ทำให้เป็นข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่องว่า มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ซึ่งตรงนั้นก็ว่ากันไป แต่ที่ผมจะพูดถึงก็คือว่า มันมาเกี่ยวอะไรกับ Harvard และ MIT ได้อย่างไร

 ก็ตรงที่ ทั้งสองมหาวิทยาลัยเคยรับเงินบริจาคมาจาก Epstein มามากทีเดียว เมื่อเจ้าของเงินบริจาค ติดคุก ฆ่าตัวตาย และมีปัญหาชีวิตเช่นนี้ มหาวิทยาลัยควรทำเช่นใด

 ผมต้องบอกคุณผู้อ่านว่า ที่ Epstein ต้องติดคุกครั้งแรกเมื่อปี 2008 ก็เพราะมีพ่อแม่คู่หนึ่งที่รัฐฟลอริด้า แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ลูกเลี้ยงสาววัย 14 ขวบของครอบครัว ได้ถูกเพื่อนหญิงนำตัวไปที่ห้องพักของ Epstein และได้รับเงินมา $300 แล้วเปลือยกาย และนวดร่างกายให้ Epstein

 การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่า Epstein ค้าโสเภณีเด็กมากกว่า 30 คน ซึ่ง Epstein ก็รับสารภาพ และถูกจำคุก เมื่อ 11 ปีที่แล้ว และที่ต้องเข้าคุกอีกครั้ง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 นี้ ก็เพราะค้ามนุษย์อีกนั่นแหละ

 Epstein ทำความผิดที่สังคมถือว่าร้ายแรงอย่างยิ่ง เพราะค้ามนุษย์ และกดขี่ทางเพศต่อสตรี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นเยาวชนอีกด้วย เมื่อเงินที่เขาได้มาบางส่วน นำมาบริจาคให้มหาวิทยาลัย ทั้งสองสถาบันจึงได้รับผลกระทบไปด้วย

 Epstein ทำอะไรลงไป เขาก็ได้ชดใช้กรรมไปแล้ว แต่ผู้บริหารระดับสูงของ Harvard กับ MIT ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคดีเหล่านั้นเลย กลับต้องเดือดร้อนไปด้วย เพราะต้นสัปดาห์นี้เอง นักศึกษา MIT ได้ออกมาขับไล่ ประธานของ MIT ให้ลาออกจากตำแหน่ง ส่วนประธาน Harvard ก็ต้องออกมาชี้แจงเรื่องเงินบริจาค  

 นับตั้งแต่ Epstein ได้เสียชีวิตลง มีแรงกดดันในประชาคมของทั้งสองมหาวิทยาลัยมาตลอด ผู้บริหารได้ใช้เวลาสอบสวนอย่างต่อเนื่อง เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ประธานของ Harvard แถลงว่ามหาวิทยาลัยได้รับเงินบริจาคจาก Epstein ระหว่างปี 1998-2007 เป็นเงิน 9 ล้านดอลล่าร์ แต่เมื่อ Epstein รับสารภาพผิด และถูกจำคุกในปี 2008 แล้ว Harvard ก็ยอมไม่รับเงินบริจาคจากเขา หรือจากมูลนิธิของเขาอีกเลย

 ถือว่ารอดไปเปลาะหนึ่ง และเปลาะที่สอง ก็ดูเหมือนรอดเช่นกัน เมื่อประธาน Harvard ประกาศว่าเงินบริจาคได้ถูกนำไปใช้ในการศึกษาตามวัตถุประสงค์  จนขณะนี้เหลืออยู่เพียง 186,000 ดอลล่าร์ ซึ่งมหาวิทยาลัยตัดสินใจที่จะนำเงินที่เหลือทั้งหมด ไปใช้สนับสนุนองค์กรต่างๆ ที่มีวัตถุประสงค์ในการสกัดกั้นการค้ามนุษย์ และการข่มเหงทางเพศ ซึ่งก็เป็นทางออกที่ดีนะครับ

 แต่ก็ยังมีรายงานว่า เมื่อปี 2005 คณบดีคณะจิตวิทยา ของ Harvard ได้แต่งตั้ง Epstein ให้เป็น “Visiting Fellow” ซึ่งเป็นตำแหน่งอาจารย์ผู้ทรงเกียรติ ประเด็นนี้ อยู่ระหว่างการหาข้อเท็จจริงเช่นกัน

 ส่วน MIT โดนหนักกว่า เพราะสื่อรายงานว่าหลังจากที่ Epstein ถูกคุมขังเมื่อปี 2008 แล้ว MIT ยังคงรับเงินบริจาคอย่างต่อเนื่อง ทั้งจาก Epstein หรือมูลนิธิของเขา หรือเพื่อนฝูงที่เขาแนะนำมา ตรงนี้ MIT โดนนักศึกษาและสังคมตำหนิ และกระแสแรงขึ้นเรื่อยๆ

 หน่วยงาน “Media Lab” ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยของ MIT ได้รับเงินบริจาคของ Epstein มากพอสมควร และมีรายงานข่าวว่า Joi Ito ผู้อำนวยการสถาบัน ประกาศเงินบริจาคของ Epstein ออกมา น้อยกว่าความเป็นจริง เพราะได้ซ่อนเงินบริจาคบางส่วนของเขาไว้ ในนาม ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

 ในที่สุด Joi Ito ก็ต้องลาออกเมื่อต้นเดือนนี้ และล่าสุดนักศึกษากำลังขับไล่ประธานมหาวิทยาลัย MIT

 คุณผู้อ่านคงเห็นภาพนะครับว่า สังคมรังเกียจคนมีเงินที่มีเบื้องหลังสกปรกโสมม เงินของพวกเขาไม่มีใครต้องการ

 ความจริงก็ไม่ใช่ความผิดของมหาวิทยาลัย เสียทีเดียว เพราะในวันที่รับเงินบริจาคมานั้น ก็ไม่มีใครรู้ว่าพฤติกรรมส่วนตัวของ Epstein เป็นเช่นใด เมื่อ Harvard ทราบความจริงและหยุดรับเงินบริจาค ก็หลุดข้อครหาไประดับหนึ่ง แต่ MIT ยังคงต้องค่อยๆแก้ปมต่างๆให้ชัดเจน ถ้าอธิบายไม่ได้ ประธานก็คงจะหลุดจากตำแหน่ง

 ขณะนี้ มหาวิทยาลัยทั้งหลายกำลังทบทวนกันใหม่ ว่าจะเพิ่มกระบวนการคัดกรองเงินบริจาคอย่างไร ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากเรื่องราวทำนองนี้อีกในอนาคต ผมคิดว่า สถาบันต่างๆในประเทศไทย ก็ควรจะต้องตระหนักในเรื่องนี้ให้มากขึ้นเช่นกัน และต้องถือว่าเป็นเรื่องของ การบริหารความเสี่ยงอีกรูปแบบหนึ่งครับ

 จริงๆมนุษย์เรานี้ดีนะ มีจิตเมตตาอยู่ในหัวใจ เวลาใครเดือดร้อน แม้จะไม่รู้จักกัน เราก็บริจาคเงินช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ นั่นเป็นความงดงามที่พระเจ้าให้มาแก่มนุษย์ แต่พระเจ้าก็ให้ทุกคนมีด้านมืดติดมาด้วย ไม่มากก็น้อย อยู่ที่ใครจะอดกลั้น และกดด้านมืดให้เหลือน้อยที่สุด ตรงนั้นคือเส้นแบ่งระหว่างคนดี กับคนที่สังคมไม่ต้องการ

 ก็น่าสนใจนะครับว่า องค์กรใด จะเป็นองค์กรแห่งแรกในประเทศไทย ที่ปฎิเสธไม่รับเงินจากผู้ประสงค์บริจาคบางคน

 แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่าก็คือ คนที่เขาไม่ยอมรับเงินบริจาคนั้น....ชื่อว่าอะไร