"ป่าคือพ่อ น้ำคือแม่ บ้านเมืองคือลูก"

"ป่าคือพ่อ น้ำคือแม่ บ้านเมืองคือลูก"

น้ำมากเกินไป น้ำน้อยเกินไป น้ำท่วมและแล้ง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นอยู่เสมอ

เราอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถลดผลกระทบได้โดยวิธีการใช้ธรรมชาติช่วยบำรุงธรรมชาติ
เรามารณรงค์กันอย่างจริงจังในการปลูกต้นไม้และรักษาป่ากันเถอะ
ความเขียวชอุ่มนำความสุขสู่มนุษย์และสัตว์ เพราะเป็นสัญลักษณ์ของระบบนิเวศสมดุลย์
ป่าเป็นแหล่งอาหารและพลังงานทำให้มวลชีวิตทั้งหลายดำรงอยู่ได้ มีป่าก็มีน้ำ มีน้ำก็มีชีวิต
เห็นความเขียวของป่าไม้ ก็หมายถึงความชุ่มชื้นของน้ำ สัตว์ต่างๆขาดน้ำไม่ได้ เราต้องการน้ำแต่ไม่อยากได้น้อยหรือมากไป โจทย์นี้เป็นสิ่งที่แก้กันไม่ตก ขึ้นอยู่กับชุมชนและอาชีพ บ้างก็ต้องการน้ำมาก บ้างก็ต้องการน้ำน้อย แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมหรือแล้งจัด แทบทุกคนเดือดร้อนการถกเถียงก็หยุดไปชั่วคราว
เมื่อระบบสังคมและเศรษฐกิจปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนย้ายของชุมชนไปในที่ต่างๆอาจจะเป็นการฝืนธรรมชาติ ความหนาแน่นของประชากร ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและหน้าที่การงานของแต่ละคน ความสัมพันธ์กับธรรมชาติก็ต้องขึ้นอยู่กับการอยู่รอด ใช้กุศโลบายปรับตามธรรมชาติให้ทันแบบตัวใครตัวมัน ทั้งแก้ไขปัญหาด่วนระยะสั้น เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ แต่บางครั้งพอความทุกข์ผ่านไปแล้ว ก็ลืมวางแผนระยะยาว
อุทกภัยที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ เป็นความทุกข์ที่ต้องช่วยกันบรรเทาอย่างเร่งด่วน ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ขอส่งแรงใจให้ทุกท่านผ่านวิกฤติโดยมีความเสียหายน้อยที่สุด
เมื่อวิกฤติครั้งนี้ผ่านไปแล้ว เราต้องช่วยกันรณรงค์ปฏิบัติทันที ร่วมมือกันเสริมกระแสที่มีแล้ว ดังเช่นตัวอย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่างไว้  รักษาระบบนิเวศของต้นน้ำลำธารต่างๆให้ละเอียดรอบคอบสม่ำเสมอและจริงจัง เราควรสร้างประเพณีและค่านิยมของความอยากปลูกต้นไม้ และรักษาป่า เน้นแล้วเน้นอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ให้ฝังลึกอยู่ในใจว่า ป่าคือพ่อ รักและเคารพพ่อ ก็ควรปฏิบัติตามที่ท่านสอนไว้
นโยบายของรัฐบาลที่แล้ว และต่อเนื่องถึงปัจจุบัน เรื่องการเชิญชวนและเปิดโอกาสเศรษฐกิจให้ผลตอบแทนในการปลูกไม้ยืนต้นเพื่อใช้เป็นทรัพย์สินค้ำประกันการกู้ยืมเป็นตัวอย่างของนโยบายที่ถูกต้องและเราต้องปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายและจริงจัง
ให้กำลังใจข้าราชการประจำ นักการเมือง ผู้นำท้องถิ่นและอาสาสมัครทุกท่าน ที่ทุ่มเทเสียสละในการออกมาช่วยเหลือบรรเทาทุกข์และร่วมกันรักษาระบบนิเวศระยะยาว ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถนอมน้ำใจและคำพูดคำวิจารณ์ซึ่งกันและกันครับ บ้านเมืองเรามีความรักและสามัคคีเป็นพื้นฐานที่ดีมากอยู่แล้ว
ป่าคือพ่อ น้ำคือแม่ บ้านเมืองคือลูก ดูแลพ่อและแม่ให้ดีครับ สิ่งท้าทายทุกอย่างเป็นโอกาส ปัญหาทุกอย่างมีวิธีแก้ไข
ต้นไม้และป่าไม้ป้องกันน้ำท่วมได้อย่างไร
ป่าไม้ดูดซับน้ำฝนและเติมปริมาณน้ำลงในดิน
ป่าไม้จะกรองและกันไม่ให้สารเคมีที่เป็นอันตรายไหลลงสู่แม่น้ำลำคลอง
 
ป่าไม้ต้านการไหลเร็วของน้ำทำให้การชะของหน้าดินลดลง
ป่าไม้ต้านกระแสลมและลดความแห้งของผิวดิน
รากของพืชต่างๆช่วยทำให้ดินเกาะติดกันแน่นขึ้นและไม่ถูกชะล้างลงที่ลุ่ม และป้องกันตลิ่งไม่ให้พังลงแหล่งน้ำ
บริเวณที่มีป่าไม้สมบูรณ์แทบจะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมหรือแลัง
ต้นไม้ที่มีอายุประมาณ 10 ปี จะสามารถดูดซึมและเก็บน้ำธรรมชาติไว้ได้ประมาณ 1,500 ถึง 2,000 ลิตรต่อต้น และรากไม้จะดูดซึมเอาน้ำเข้าออกจากพื้นดินได้ถึงประมาณความลึก 60 เมตร ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ปลูกให้มากที่สุดจะเห็นผลทันตาครับ
ควรปลูกต้นไม้บริเวณที่ดอน หรือบนภูเขา จะทำให้น้ำฝนถูกเก็บไว้โดยระบบนิเวศของป่า และต้นไม้แต่ละต้นจะดูดซึม หรือถ่วงเวลาการไหลชะลงมาที่ลุ่ม และควรปลูกต้นไม้ในบริเวณที่ลุ่มใกล้แหล่งน้ำ เพื่อเป็นการป้องกันผิวดินไม่ให้ไหลลงไปเป็นตะกอนกีดขวางการไหลเวียนของน้ำตามธรรมชาติ
เมื่อการถ่ายเทไม่สมดุลย์ คือฝนตกหนัก น้ำไหลเร็วและแรง และมาเจอการปิดกั้นกีดขวางก็จะเกิดการท่วม
การใช้วิศวกรรมเป็นการบริหารน้ำที่มีความนิยมทั่วโลก เช่น การสร้างเขื่อนกั้นน้ำ เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ใช้ต้นทุนมาก และมีผลกระทบข้างเคียงกับระบบนิเวศ ไม่มากก็น้อย ปัจจุบันมีการวิเคราะห์เชิงลึกเรื่องเขื่อนกั้นน้ำอาจให้ประโยชน์น้อยกว่าโทษ
บ้านเรามีผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเลือกพืชพันธ์ที่เหมาะสมในการปลูกป่าที่ลุ่มที่ดอน ต้นไม้บางอย่างก็สามารถจะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในระยะสั้นทันที คุ้มกับการลงทุน ปลูกไผ่เฉพาะพันธุ์เพื่อป้อนอุตสาหกรรมระดับเล็กและกลาง เป็นการสร้างงานในท้องถิ่น บางแห่งมีการปลูกป่าเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ เช่น บริษัททำกระดาษต่างๆแต่เรื่องนี้ต้องวางแผนระบบนิเวศให้ดี
การปลูกต้นไม้ทั้งแบบล้มลุกและยืนต้น เป็นเรื่องที่บ้านเราเชี่ยวชาญอยู่แล้ว พื้นที่ลาดเท ปรับแต่งเพียงแค่ปลูกแนวขวาง เพื่อกั้นการไหลของน้ำ จะทำให้มีการดูดซึมเข้าไปในดินให้ลึกที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ การห่มดินเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่ไม่มีพืชห่มดินอยู่เลยเช่น การทำไร่นา และทิ้งไว้หลังจากเก็บเกี่ยวเป็นเวลาหลายเดือน แถมมีการเผาเพื่อเตรียมการปลูกฤดูต่อไป ก็เหมือนกับการไม่ห่อหุ้มป้องกันผิวหนังของเรา โอกาสที่ผิวจะเป็นอันตรายทำให้เราเป็นไข้ หรือถึงขั้นเป็นมะเร็งผิวหนัง เป็นอุทาหรณ์เตือนใจเราว่าแผ่นดินกำลังส่งสัญญาณเตือนเราเช่นกัน
ดินเป็นฐานสำคัญของการทำการเกษตร ซึ่งก็คือการกินอยู่ของมนุษย์ ดินเป็นเหมือนฟองน้ำที่สามารถจะรับความชื้นไว้ได้ แต่ก็มีข้อจำกัด เมื่อถึงจุดหนึ่ง ดินก็ต้องปล่อยน้ำออกไปหากไม่มีต้นไม้ต่างๆคลุมผิวดินเพื่ออุ้มและดูดซึมน้ำไว้ การไหลเชิงทำลายก็จะเกิดขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการป้องกันน้ำท่วมนานาชาติส่วนใหญ่ มีความเห็นร่วมกันว่า เราควรใช้งบประมาณที่มีจำกัดในการปลูกพืชพันธ์ุหลากหลายตามความเหมาะสมของสภาพอากาศในท้องถิ่น โดยเน้นที่บริเวณสูง เช่น เนินหรือภูเขา ให้เกิดความหนาแน่นชุ่มชื้น และในขณะเดียวกันปลูกไม้ที่เหมาะสมริมตลิ่งของแหล่งน้ำต่างๆ บริเวณใดที่มีน้ำท่วมบ่อยครั้ง ควรสร้างถนนให้สูงขึ้นและปลุกต้นไม้ริมทาง เพื่อป้องกันผิวดิน
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเกือบทุกกลุ่มเตือนให้หลีกเลี่ยงก็คือ การขุดลอกความลึกของคลองและแม่น้ำ เหตุผลก็คือหากเราขุดลอกแหล่งน้ำต่างๆโดยที่ไม่ได้ป้องกันบริเวณผิวดิน ก็จะต้องทำการขุดลอกอยู่เสมอสิ้นเปลืองงบประมาณและไม่ยั่งยืน
ทุกวิกฤตเปิดโอกาส ร่วมใจกันรักพ่อและแม่ ปลูกและดูแลป่า ถนอมน้ำ พระคุณของท่านเหลือล้น