วัดพลังธนาคารกลางกันอีกรอบ

วัดพลังธนาคารกลางกันอีกรอบ

ปีนี้ดูเหมือนน่าจะเป็นปีที่ดีสำหรับนักลงทุน เพราะดอกเบี้ยทั่วโลกกลับมาสู่ขาลง ตลาดหุ้นก็ปรับขึ้นเกือบทุกตลาด

และน่าจะเป็นครั้งแรกที่ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วทั้ง 23 ประเทศปรับขึ้นทั้งหมด แต่การลงทุนกลับไม่ง่าย เพราะราคาหุ้นผันผวนสูงมากตลอดทั้งปี ยกตัวอย่าง SET Index ปรับขึ้นลงถึง 280 จุด ภายในไม่ถึงสามเดือน และไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นไทย แต่อีกหลายตลาดก็เผชิญกับความผันผวนที่รุนแรงเช่นเดียวกัน

สาเหตุสำคัญ เป็นเพราะปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นในปีนี้ คือปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) หรือแปลง่ายๆ ว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งซับซ้อนและยากต่อการวิเคราะห์ อาทิ ปัญหาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าจะลงเอยอย่างไร  ปมความขัดแย้งที่ขยายขอบเขตไปเรื่อยๆ รวมทั้งจุดยืนของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนไปมา ยิ่งทำให้การประเมินความเสี่ยงยากขึ้น

นอกจากนั้น ยังมีเรื่อง Brexit ปัญหาหนี้ในอิตาลีและอาร์เจนตินา ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน และรัสเซีย การประท้วงในฮ่องกง ฯลฯ

ปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้น เพราะนอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน ยังกดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ล่าสุด IMF ลดประมาณการขยายตัวของ GDP โลกเหลือ 3.2% ซึ่งเป็นการลดประมาณการเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 7 เดือน และเป็นการขยายตัวของ GDP โลกที่ต่ำสุดในรอบ 10 ปี

ในสหรัฐฯ ถึงแม้เศรษฐกิจโดยรวมยังดูแข็งแรง แต่ Bond Yield เริ่มส่งสัญญาณว่ามีโอกาสเกิด Recession ในอีก 2 ปีข้างหน้า จากการที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 2 ปี เริ่มสูงกว่าพันธบัตร 10 ปี จีนเองก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจขยายตัวต่ำสุดในรอบ 27 ปี

เร็วๆ นี้เราน่าจะได้เห็นธนาคารกลางจีนลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ตามหลังสหรัฐฯ และอีก 38 ประเทศที่ทยอยลดดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางของ EU ก็มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยเช่นกัน พร้อมๆ กับการทำ QE อีกรอบ

คำถามคือ การลดดอกเบี้ยพร้อมๆ กันของธนาคารกลางทั่วโลกในครั้งนี้ จะมีพลังพอที่จะหยุดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเหมือนที่เคยทำได้เมื่อ 10 ปีที่แล้วหรือไม่?

ถ้าจำกันได้ หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2008 ธนาคารกลางเกือบทุกประเทศ ได้พร้อมใจกันลดดอกเบี้ยในเวลาใกล้เคียงกัน บางธนาคารกลางอย่าง สหรัฐฯ EU และ ญี่ปุ่น ยังใช้นโยบาย QE เสริมอีกด้วย และอย่างที่ทราบกันดี หลังจากนั้นไม่นานเศรษฐกิจโลกก็กลับมาขยายตัว ส่วนตลาดหุ้นทั่วก็ได้อานิสงส์ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก และเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดกระทิงที่ยาวนานที่สุดในสหรัฐฯ

ผมเชื่อว่า Impact จากการลดดอกเบี้ยรอบนี้จะไม่มากเท่าเดิม เพราะช่องว่างในการลดดอกเบี้ยมีน้อย ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายของเกือบทุกประเทศยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ย้อนกลับไปในช่วงนั้น Fed สามารถลดดอกเบี้ยลงมากกว่า 10 ครั้ง จาก 5.25 % เหลือ 0.25% และถ้าเอา “จำนวนครั้ง” ของการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทุกแห่งมารวมกัน จะพบว่ามีการลดดอกเบี้ยถึง 92 ครั้งในปี 2008 และอีก 207 ครั้งในปี 2009 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล อานุภาพของการลดดอกเบี้ยรอบนั้นจึงสูงมาก       

อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าธนาคารกลางจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ในช่วงนี้ได้ เพราะเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังไม่ถือว่าแย่ เพราะไม่ได้ถดถอย หรืออยู่ในภาวะวิกฤตเหมือน 10 ปีที่แล้ว การลดดอกเบี้ยรอบนี้จึงเป็นแค่การเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่เริ่มสูงขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำมากเท่าคราวที่แล้ว  

ผมยังเชื่อว่าปัญหาระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุน น่าจะมีเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ปีหน้าเป็นปีที่สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี และเป็นปกติที่รัฐบาลจะพยายามทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในขาขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะการเลือกตั้ง การดันทุรังเล่นงานจีนต่อไปเรื่อยๆ ไม่น่าเป็นกลยุทธ์ที่ทรัมพ์จะนำมาใช้ในปีหน้า แน่นอนว่าความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนี้คงไม่จบลงง่ายๆ แต่อย่างน้อยการพักรบชั่วคราวก็น่าจะช่วยทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมดีขึ้น