เล่นงานเกาหลีใต้ เพื่อผลการเมืองญี่ปุ่น

เล่นงานเกาหลีใต้ เพื่อผลการเมืองญี่ปุ่น

ขณะที่โลกกำลังงงงงกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ท่าจะยังมีต่อเนื่อง ไม่ค่อยๆ เลิกรา

เหมือนดังที่ทรัมป์เคยแสดงท่าในการประชุม G-20 ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นมาเงียบๆ ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ก็เป็นเรื่องใหญ่มิใช่เล่น สิ่งที่ญี่ปุ่นกำลังทำนี้เราไม่เห็นกันมานานแล้วและอาจไม่ใช่ชั่วคราว แต่เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง อาจทำให้สมดุลความมั่งคั่งของเอเชียตะวันออกเปลี่ยนไป อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงของญี่ปุ่น และอาจนำไปสู่อะไรอีกหลายอย่าง รวมทั้งพันธมิตรโอบล้อมจีนดังที่สหรัฐฯ หวังไว้ในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก

 การที่ศาลเกาหลีใต้สั่งยึดทรัพย์บริษัท Mitsubishi เพื่อเอาเงินมาชดเชยผู้หญิงเกาหลีที่ถูกทหารญี่ปุ่นจับบำเรอกามสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ดูเหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ญี่ปุ่นโกรธมาก จนประกาศห้ามส่งวัตุถุดิบไฮเทคให้กับเกาหลีใต้ ทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้อาจพังทั้งระบบ เพราะสัดส่วนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอิเล็คทรอนิคส์ของเกาหลีใต้ในเศรษฐกิจเกาหลีมีสูงมาก แต่ญี่ปุ่นยังไม่หยุด ทำการโจมตีเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าการถอดสถานะชาติที่น่าไว้ใจให้ส่งออก หรือไม่ยอมผ่อนปรนใดๆ ในการเจรจา และถ้าสังเกตจะเห็นว่า นายกรัฐมนตรี(นรม.) Abe ไม่ยอมคุยทวิภาคีกับประธานาธิบดี Moon มาตั้งแต่เวที่ G-20 แล้ว

สิ่งที่รัฐบาลโตเกียวกำลังทำอยู่อาจถูกมองว่าโง่หรืองอแงในสายตาของฝ่ายเกาหลีใต้ แต่แท้ที่จริงแล้ว รัฐบาลฝ่ายขวาของญี่ปุ่นคงคิดกันมานานแล้ว เล่นกับกระแสความอัดอั้นของชาวญี่ปุ่นที่ทนต่อเกาหลีใต้มานานเพื่อบรรลุจุดประสงค์ทางยุทธศาสตร์ของตน นั่นคือการแก้รัฐธรรมนูญให้จงได้ในปีสองปีนี้แหล่ะ ยิ่งเกาหลีใต้ออกมากดดันญี่ปุ่นหนักๆ ตั้งแต่ระดับรัฐบาลไปจนถึงประชาชน เติมดีกรีคลั่งชาติปลุกเร้าให้เกลียดญี่ปุ่นมากเท่าไร กระแสชาตินิยมในญี่ปุ่นก็จะมากขึ้นเท่านั้นและจะเป็นแรงหนุนหลังพรรค LDP ของนรม. Abe มากขึ้นๆ

ทั่วโลกเข้าใจดีถึงความแค้นของเกาหลีใต้ที่มีต่อญี่ปุ่นไม่เลิก ในรอบ 500 ปีมานี้ กองทัพญี่ปุ่นทำเรื่องเลวร้ายต่อชาวเกาหลีไว้สาหัสนัก ไม่ว่าจะเป็นการบุกเกาหลี 2 ครั้งสมัยปลายศตวรรษที่ 16 ตามสั่งการของ Toyotomi Hideyoshi การล้มล้างราชวงศ์โชซอนและผนวกเกาหลีเป็นอาณานิคมช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีการทารุณกรรมคนเกาหลีสารพัด แต่เมื่อญี่ปุ่นทำสัญญาคืนดีกับเกาหลีเมื่อปี 1965 ญี่ปุ่นจ่ายชดเชยเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่องไปมหาศาล สิ่งที่ญี่ปุ่นจ่ายหนักที่สุดนั้นไม่ใช่เงิน แต่เป็นการให้โอกาสเกาหลีใต้เติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจนแซงหน้าตนเอง ส่งมอบความช่วยเหลือสารพัด อีกทั้งญี่ปุ่นยังยอมเสียศักดิ์ศรีโดนเกาหลีใต้ด่าประณามเท่าใดก็ไม่ตอบโต้ แต่เกาหลีใต้ไม่เคยพอ ทุกวันนี้ในใจคนเกาหลียังคิดแค้นญี่ปุ่นอยู่ ข้าวของญี่ปุ่นแทบไม่ปรากฏในเกาหลีใต้ วัฒนธรรมบันเทิงญี่ปุ่นก็ถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงครัวเรือนเกาหลี

เมื่อดูภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในห้วง 30 ปีที่ผ่านมาก็จะพบว่าเหนือกว่าญี่ปุ่นมาก เพราะญี่ปุ่นถดถอยตกอยู่ในสภาวะแช่แข็งทางเศรษฐกิจตั้งแต่สิบปีสุดท้ายของสหัสวรรษก่อน แต่คนแทบไม่เคยรู้เลยว่าเกาหลีใต้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของศัตรูในการนำพาให้บริษัทธุรกิจของตนขึ้นสู่ระดับโลก หากญี่ปุ่นเพิ่มการบอยคอตต์เกาหลีใต้หนักๆ ในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี เกาหลีใต้อาจซวดเซก็เป็นได้  ทุกวันนี้ญี่ปุ่นอึดอัดใจต่อเกาหลีใต้หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกรณีพิพาทพรมแดน โดยเฉพาะเกาะ Dokdo/Takeshima ที่ในทางปฏิบัติอยู่ในการควบคุมของเกาหลีใต้ แรงงานผิดกฏหมายเกาหลีล้นเมืองญี่ปุ่น อาชญากรรมข้ามชาติ และการแข่งขันด้านกำลังกองทัพระหว่างกัน นับตั้งแต่ นรม. Abe ขึ้นครองอำนาจเมื่อ 6 ปีก่อน ญี่ปุ่นก็ไม่อยากทนอีกต่อไป

บทแข็งของรัฐบาลญี่ปุ่น เกิดขึ้นในห้วงก่อนเลือกตั้งสภาสูงของประเทศ 21 ก.ค.พอดี ขณะที่เขียนผลยังไม่ออก แต่พรรครัฐบาล LDP ที่คะแนนนำขาดอยู่แล้ว ต้องการให้ได้เสียง 2 ใน 3 ของสภา ซึ่งเมื่อรวมกับสภาล่างที่ก็นำขาดเหมือนกัน จะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 9 ที่ว่าด้วยเรื่องบทบาทกองทัพญี่ปุ่นปัจจุบันได้  การแก้รัฐธรรมนูญนี้พูดกันมานานแล้ว แต่ยังไม่ทำซะที เพราะประชาชนยังไม่เอาด้วย ต้องลงมติแล้วผ่านกึ่งนึง ซึ่งถ้ารัฐบาลไม่มั่นใจเต็มที่ก็ไม่กล้าทำประชามติ กระแสชาตินิยมที่จะปลุกให้ขึ้นนั้นต้องมาจากความรู้สึกไม่ปลอดภัยของตัวประชาชนเอง ยิ่งเกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ และจีน ดิ้นด่าญี่ปุ่นมากเท่าไหร่ ชาวญี่ปุ่นก็จะพร้อมใจเอียงไปทางเชื่อผู้นำภาพลักษณ์แข็งแกร่งมากเท่านั้น

ความไม่กลมเกลียวกันของ 2 ชาติพันธมิตรเอเชียตะวันออกไกลของสหรัฐฯ ย่อมกระทบต่อความแข็งแกร่งในการร่วมมือกันโอบล้อมอิทธิพลของจีนไม่มากก็น้อย  แต่เกาหลีใต้ไม่น่าที่จะย้ายค่ายไปซบจีน เพราะก็มีหลายเรื่องไม่ลงรอยกัน บางทีการที่กองทัพญี่ปุ่นและเกาหลีต่างแข่งขันกันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเป็นที่ชอบใจของทรัมป์ที่ต้องการให้มิตรประเทศแบกรับภาระด้านความมั่นคงเพิ่มขึ้น