อนาคตล้มเหลวเพราะทนนิยม

อนาคตล้มเหลวเพราะทนนิยม

คนที่ทนไปกับสารพัดอย่างที่ย่ำแย่อยู่รอบตัวได้นั้น มีอยู่ 2 ประเภทคือ 1. คนที่คิดว่าตนเองไม่ว่าจะหนีไปทางไหนก็เจอแต่เรื่องย่ำแย่ทั้งนั้น

ดังนั้นจึงทนไปกับทุกอย่างที่แย่ๆ นั้นได้ เสมือนหนึ่งว่าตนเองไม่ได้พบเจออะไรที่แย่ๆ กับ 2. คนที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความย่ำแย่นั้น คนหนึ่งคิดว่าหนีไปทางไหนก็ไม่แคล้วจะเจอกับเรื่องแย่ๆ ก็เลยทน อีกคนหนึ่งบอกว่าไอ้ที่แย่นั้น ไม่ใช่เกิดกับฉัน แต่เกิดขึ้นกับคนอื่น ก็เลยทนดูอะไรที่แย่ๆ นั้นได้โดยไม่รู้สึกใดๆ ทนคนละแบบกัน แต่ผลเหมือนกัน คือไม่มีการปรับปรุงใดๆ ให้สถานการณ์แย่ๆ นั้นจางหายไป วันนี้เคยมีปัญหาอะไร พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป ก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่

คนทนกับการจราจรที่ติดขัด เพราะไม่ว่าจะหลบไปทางไหน ก็เจอรถติดอยู่ดี เลยทนรถติดกันไปชั่วนาตาปี ไม่ได้โวยวายให้ใครที่รับผิดชอบเรื่องนั้นหาหนทางแก้ไข ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ คนที่รับผิดชอบจัดการจราจร ก็ทนดูการจราจรที่ติดขัดนั้นไปได้ โดยไม่รู้สึกว่าตนเองบกพร่อง เพราะรถติดเกิดกับคนอื่น ไม่ใช่ตนเอง ปัญหารถติดจึงกลายเป็นปัญหาที่คงอยู่ต่อไป โดยไร้ความพยายามที่จะแก้ไข ซอฟท์แวร์ใช้ยากใช้เย็น จะแก้ไขดัดแปลงอะไรก็ต้องทนกับขั้นตอนที่ยุ่งยาก ก็ยังทนใช้กันต่อไปในแบบเดิมๆ ไม่พยายามไปฝึกอบรมให้รู้เทคนิคใหม่ๆ ทนเพราะไม่เห็นหนทางอื่นที่จะทำให้บางสิ่งบางอย่างดีขึ้นได้ ดังนั้น ถ้าไม่อยากกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นทนนิยม เริ่มจากต้องมองสารพัดเรื่องแย่นั้นเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่จะต้องเอาชนะไปให้ได้ รถติดไม่ใช่เรื่องที่จำต้องทน แต่เป็นปัญหาที่ต้องหาทางแก้ไข ถ้าคนที่ดูแลรับผิดชอบจัดการจราจร เขาทนเฉยอยู่กับปัญหารถติด ก็เป็นหน้าที่ของตัวเราที่จะหาหนทางแก้ไข จากปัจจัยที่เราควบคุมได้ เช่น ออกเดินทางเร็วขึ้น

ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับเรื่องแย่ๆ เล็กๆ หรือเรื่องแย่ๆ ใหญ่ๆ ควรหาทางเรียนรู้หนทางที่จะแก้ไข เพื่อยุติ หรือทุเลาปัญหาอย่าเชื่อลัทธิทนนิยม แล้วทนอยู่กับปัญหา จนกระทั่งปัญหานั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชิวิต กลายเป็น “แย่เป็นเรื่องปกติ เยี่ยมเป็นเรื่องพิเศษ”

หากทนนิยมเกิดขึ้นแล้วกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าประสงค์จะยกเลิกทนนิยมในเรื่องนั้น ให้ตั้งหลักให้ดีด้วยการมองปัญหานั้นจากมุมมองของปัจจัยภายนอก หาให้ได้ว่าอะไรทำให้เราเจอะเจอกับปัญหานั้น อย่ามองปัญหานั้นด้วยมุมมองของปัจจัยภายใน คือโทษดวงชะตา ดูแคลนตนเองว่าอ่อนด้อยจนไร้หนทางแก้ไขปัญหา แล้วเฝ้ารอซุเปอร์ฮีโร่มาปัดเป่าปัญหานั้นให้

ถ้าไม่อยากยอมจำนนกับปัญหา ให้มองปัญหานั้นในเชิงเวลา อย่าเห็นปัญหาแล้วใส่ไทม์ไลน์เข้าไปเลยว่าปัญหานั้นจะคงอยู่ไปชั่วฟ้าดินสลาย ให้มองใหม่ว่าปัญหาที่สร้างความย่ำแย่ให้เราอยู่นั้นเกิดขึ้นในช่วงใดบ้าง แยกแยะให้ได้ว่าตอนไหนมีปัญหา ตอนไหนแรง ตอนไหนเบา เพื่อยืนยันกับตนเองว่าทุกปัญหานั้นเป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราวที่เราจะยุติ หรือลดทอนลงได้สักวันหนึ่ง ถ้าคิดว่าปัญหาเป็นปัญหาโลกแตก เราจะละเลยไม่พยายามขจัดปัญหานั้น และยอมทนอยู่กับปัญหานั้นต่อไปเรื่อย ๆ

อีกทางหนึ่งที่อาจเติมแรงใจให้สู้กับปัญหาที่เข้าข่ายทนนิยมไปแล้ว คือหาทางมองปัญหานั้นในมุมมองของสถานการณ์คือปัญหานั้นเกิดขึ้นในระหว่างที่เรากำลังเผชิญอยู่กับสถานการณ์ใดบ้าง อย่าเร่งสรุปในทันทีที่เจอปัญหาย่ำแย่ว่าปัญหานั้นเกิดขึ้นในทุกสถานการณ์รอบตัว ดังนั้นจึงเปล่าประโยชน์ที่จะพยายามยุติปัญหานั้น สู้ทนอยู่กับปัญหาไปเลยดีกว่า

ทนลำบากได้ กับทนไปกับทุกความลำบากเป็น 2 สิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าอยากให้ผลการดำเนินการดีขึ้นแล้วดีขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องทนลำบากค้นหาหนทางที่จะทำให้ผลการดำเนินการดีขึ้นกว่าเดิมได้ แต่การทนไปกับทุกความลำบาก หมายถึงยอมจำนนกับทุกปัญหา แล้วจมตนเองอยู่กับสารพัดปัญหาตลอดไป