ยก“เพื่อไทย”ให้สุดารัตน์?

ยก“เพื่อไทย”ให้สุดารัตน์?

ในวันครบรอบ 70 ปี อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร แจ้งอย่างเปิดเผย ปฏิเสธการรับแขกที่จะไปอวยพรในต่างแดน...

กลายเป็นประเด็นที่ถูกตีความว่า เป็นการส่งสัญญาณ วางมือทางการเมือง” (อีกครั้ง) หรือไม่

เพราะการแห่ไปอวยพรในแต่ละวาระ ภาพที่ออกมา เปรียบเสมือนการ “ชุมนุมทางการเมือง”  

และดูเหมือนสถานการณ์รอบข้าง จะสนับสนุนอย่างมีน้ำหนัก เพราะทั้ง ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาฯพรรค และ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล มือทำงานใกล้ชิด ก็พร้อมใจกัน เว้นวรรค-วางมือ ในจังหวะเดียวกัน

อีกทั้ง ทิศทางในการปรับโครงสร้างพรรคเพื่อไทยที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 12 ก.ค.นี้ ก็ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า เหมือนเปิดทางให้ คุณหญิงหน่อยสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำ ส.ส.กทม.เข้ามายึดพรรค

สถานการณ์ในเพื่อไทยยามนี้ เป็นที่รู้กันว่า การจัดทัพใหม่ แม้จะมีชื่อ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สายตรง“เจ๊แดง” เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่ก็มีข่าววงในว่า คุณหญิงหน่อยก็จะอัพตัวเองขึ้นไปนั่ง ประธานพรรคอีกชั้น พร้อมทั้งวาง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ มือขวาคนสำคัญ ไปนั่งเลขาธิการพรรค รวมทั้งเตรียมเพิ่มจำนวนกรรมการบริหารพรรคในสายตัวเอง ให้มีเสียง(โหวต)ข้างมาก สำหรับบริหารจัดการพรรคได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ว่ากันว่า ก่อนจะออกมาเป็นสูตรนี้ “คุณหญิงหน่อย” พยายามผลักดันให้ น.อ.อนุดิษฐ์ ขึ้นแท่นหัวหน้าพรรค แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะสู้แรงต้านจาก ส.ส.หลายกลุ่มหลายก๊กในพรรคไม่ไหว จึงยอมลดระดับ ถอยครึ่งก้าวให้ “สมพงษ์” ขึ้นมาเป็นผู้นำ(ขัดตาทัพ) ซึ่งสมาชิกในพรรคก็รู้กันดีว่า ที่สุดแล้ว “คุณหญิงหน่อย” ก็จะโชว์บทบาทโดดเด่น“เหนือหัวหน้าพรรค”อย่างที่เป็นมา

ปรากฏการณ์นี้ หากมองเร็วๆ อาจจะเข้าใจว่า “นายใหญ่” ไฟเขียวให้ “คุณหญิงหน่อย”ยึดเพื่อไทย! แต่เอาเข้าจริงแล้ว “เจ้าของพรรคและเครือญาติ” ไม่ได้วางมือ ยกอำนาจเบ็ดเสร็จให้ใคร แต่เป็นยุทธศาสตร์การ แกล้งตายทางการเมือง และบริหารจัดการอำนาจครั้งใหม่ โดยให้กลุ่มภาคต่างๆ คานอำนาจกันเอง 

ต้องยอมรับว่า ในเพื่อไทย ทั้งส.ส.อีสาน ส.ส.เหนือ ก็ไม่ได้ยอมให้ “คุณหญิงหน่อย” และสายกทม.มีอำนาจเหนือกลุ่มใด 

เพราะเมื่อใดที่ “คุณหญิงหน่อย” สายตรงนายใหญ่ กลุ่มก๊วนภาคอื่นๆ ก็ไม่ปล่อยให้คนแดนไกลฟังความข้างเดียว 

ต้องยอมรับว่า ยุทธศาสตร์ แบ่งแยกแล้วปกครอง” ของอดีตนายกฯทักษิณ ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากปล่อยให้กลุ่มใดได้อำนาจเบ็ดเสร็จ เมื่อนั้นความสำคัญของตัวเองก็ย่อมหมดสิ้น