กำแพงที่มองไม่เห็น

กำแพงที่มองไม่เห็น

สังคมต้องไม่ปล่อยให้คำโกหกถูกแต่งแต้มสีสัน

สุนทรพจน์ที่ทรงพลังที่สุดในช่วงนี้เห็นที่จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากนายกรัฐมนตรีของเยอรมัน “อังเกลา แมร์เคิล” ที่กล่าวไว้ในพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อปลายเดือนที่แล้ว โดยใช้เรื่องราวในชีวิตจริงมาสะท้อนให้เห็นอุปสรรคที่อาจขวางกั้นตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว

แมร์เคิลย้อนความหลังถึงชีวิตในวัยเยาว์ที่คุ้นเคยกับ “กำแพงเบอร์ลิน” ซึ่งขวางกั้นญาติพี่น้องไว้อีกฝากหนึ่ง ด้วยความที่เป็นกำแพงหนาแน่นแข็งแกร่งจนไม่มีใครคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แม้เธอจะเฝ้าคิดว่าจะมีทางเดินทะลุกำแพงนี้ไปได้ไหมแต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงในที่สุด

แต่กำแพงอันใหญ่โตนั้นไม่อาจขวางกั้นมวลชนที่ปรารถนาเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ในปี ค.ศ. 1989 ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปเมื่อกำแพงถูกทลายลงและเยอรมันรวมประเทศได้สำเร็จ โอกาสของแมร์เคิลถูกเปิดกว้างให้ทำทุกอย่างได้อย่างเสรี

แต่มาถึงทุกวันนี้ เรากลับใช้ชีวิตอยู่กับกำแพงในใจที่แม้จะจับต้องไม่ได้เหมือนกำแพงเบอร์ลิน แต่กลับเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งในใจเราจนปิดกั้นตัวเองออกจากผู้อื่น ไม่ยอมคบค้าสมาคมกับผู้อื่น เพราะข้อจำกัดสารพัดที่เราตั้งขึ้นภายในใจ

อีกประเด็นหนึ่งที่แมร์เคิลกล่าวไว้อย่างจับใจคือ สังคมยุคปัจจุบันต้องไม่ปล่อยให้คำโกหกถูกแต่งแต้มสีสัน จนกลายเป็นเรื่องจริงในสายตาผู้อื่น เช่นเดียวกับความจริงมาบิดเบือนจนกลายเป็นเรื่องโกหกให้ทุกคนเชื่อ เราต้องยึดถือความจริงและความดีเป็นเป้าหมายสูงสุดไม่ใช่เพียงผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น

ผมเชื่อว่าการเมืองระหว่างประเทศที่วุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้ก็ล้วนเกิดจากสิ่งที่ตรงกันข้ามกับแมร์เคิลพูดเกือบทั้งนั้น ความวุ่นวายในหลายๆ ประเทศที่บานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมืองก็เพราะประเทศมหาอำนาจมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นอิรัก ซีเรีย ลิเบีย ฯลฯ จึงมีแต่การโกหกปั้นเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อหาความชอบธรรม ในการยึดครองทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเหล่านี้

ทุกประเทศที่ถูกแทรกแซงเหล่านี้ล้วนได้รับผลกระทบรุนแรงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองย่ำแย่ เสรีภาพที่ทุกคนแสวงหาก็ไม่มี ทั้งที่ในตอนแรกมองเห็นโอกาสมากมายจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่เป็นจริง

สิ่งที่แมร์เคิลพยายามตอกย้ำคือโลกทุกวันนี้เน้นการเปิดกว้างอย่างเสรีในทุกมิติ แต่ผู้นำจำนวนมากรวมถึงคนจำนวนไม่น้อยกลับสวนกระแสด้วยการสร้างกำแพงในใจเพื่อปิดตัวเองจากผู้อื่น ไม่ต่างอะไรกับบ้านหลังหนึ่ง หรือครอบครัวหนึ่งจะปิดตัวไม่สนใจรอบข้างเพราะกลัวไม่ปลอดภัย

หากบ้านเราดีอยู่หลังเดียวเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งอยู่ครอบครัวเดียวในขณะที่รายล้อมด้วยเพื่อนบ้านที่ยากจนไม่มีโอกาสไม่มีช่องทางทำกิน แล้วเราจะอยู่ในบ้านหลังนั้นได้อย่างมีความสุขจริงหรือ เช่นเดียวกับประเทศที่ปิดตัวเองไม่สนใจโลกภาพนอก ลองคิดดูว่าผ่านไปสัก 5 ปี 10 ปี ความเป็นอยู่ของประเทศเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร

แล้วประเทศที่ปิดตัวเองอยู่นั้นจะยังคงมั่งคั่งร่ำรวยเหมือนเดิมหรือไม่ ในขณะที่ทุกประเทศรอบข้างล้วนมีปัญหาภายใน เช่นเดียวกับปัญหาขยะในมหาสมุทรที่แม้ประเทศร่ำรวยจะหาทางป้องกันใช้งบประมาณจำนวนมากเพียงใดก็ไม่อาจลดขยะลงได้หากประเทศอื่นไม่ร่วมลงมือได้

ปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงไม่อาจแก้ได้ด้วยประเทศเดียว เช่นเดียวกับปัญหาด้านอื่นทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ ทุกวันนี้ เราจึงเผชิญกับภาวะโลกร้อนที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม รวมไปถึงปัญหาผู้อพยพ และภัยจากการก่อการร้าย ซึ่งเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากกำแพงในใจเป็นหลัก

การก้าวข้ามกำแพงที่มองไม่เห็นเหล่านั้นจึงเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาต่างๆ ในทุกระดับของทุกวันนี้