ยกระดับความรู้สู่รูปธรรม สร้างสุขภาพดี “ที่ชุมชน”

ยกระดับความรู้สู่รูปธรรม   สร้างสุขภาพดี “ที่ชุมชน”

ฟินแลนด์ เป็นประเทศที่ประชาชนมีสุขภาพดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ในช่วงทศวรรษที่ 70 ประเทศนี้มีผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นอันดับหนึ่งของโลก

จนทำให้รัฐบาลต้องลุกขึ้นมาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยไม่ใช่แค่การแถลงการณ์นโยบายหรือการให้ความรู้เรื่องการลดคอเลสเตอรอลแก่ประชาชนเพราะทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว แต่พวกเขาต้องคิดและเริ่มทำการลดคอเลสเตอรอลด้วยตนเอง โดยเคล็ดลับความสำเร็จนั้นอยู่ที่การเลือกใช้เครื่องมือการตลาด จูงใจให้กลุ่มเป้าหมายยอมรับ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เลิกหรือทำบางอย่างโดยสมัครใจ ภายใต้เป้าหมายเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะรัฐบาลไม่ได้มีเงินสนับสนุนการลงทุนการตลาดมากพอเหมือนภาคธุรกิจ และสภาพสังคมและวัฒนธรรมความคิดความเชื่อในอดีต เช่น การมีรายได้จากเนื้อสัตว์และผลผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณไขมันที่มากกว่า ความเชื่อของชายฉกรรจ์ที่ไม่บริโภคผักเพราะคิดว่า มันคืออาหารสำหรับกระต่าย กลยุทธ์เปลี่ยนพฤติกรรมที่ฟินแลนด์นำมาใช้ในตอนนั้นหลากหลาย เช่น การแก้ไขกฎหมายครั้งใหญ่ เริ่มจากห้ามโฆษณาบุหรี่ เปลี่ยนให้เกษตรกรรับค่าตอบแทนจากผลิตภัณฑ์ตามปริมาณโปรตีนมากกว่าไขมัน การกระจายเงินสนับสนุนไปที่ท้องถิ่น การแทรกแซงระดับบุคคลโดยส่งทีมงานเข้าไปในผับเพื่อพูดคุยถึงกิจกรรมอื่นที่สนใจนอกเหนือจากการเข้าผับ การผสานเรื่องออกกำลังกายเข้าไว้ในกิจวัตรประจำวัน เช่น การขี่จักรยานไปทำงาน โดยรัฐได้เพิ่มทางเดินเท้าหรือเส้นทางจักรยานซึ่งได้เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานในชุมชนไปพร้อมกันด้วย หรือการสนับสนุนให้เอกชน ผู้ให้บริการหรือหน่วยงานรัฐอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในระดับต่างๆ เป็นต้น

วิธีการดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยได้รับรายงานว่า ผู้ชายที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงอย่างน้อย 65% และผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดก็ลดลงใกล้เคียงกัน ประชาชนมีการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น และคาดว่าผู้ชายฟินแลนด์มีอายุยืนขึ้น 7 ปี และผู้หญิง 6 ปี เมื่อเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยก่อนที่รัฐจะเริ่มทำการนี้

เมื่อมองกลับมาที่บ้านเรา กลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCD) นับเป็นปัญหาสำคัญ เพราะมีการเสียชีวิตกลุ่มนี้ คิดเป็น 71% ของการเสียชีวิตของประชากรไทยกว่า 501,000 รายในปี 2557 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่องและรวดเร็ว ตัวเลขประมาณการการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ในสังคมไทยอยู่สูงถึง 2.8 แสนล้านบาทในปี 2556 โดยการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเพียงอย่างเดียว คิดเป็น 29% ในขณะที่การเสียชีวิตจากโรคติดต่อ การตั้งครรภ์และการคลอดบุตรและภาวะทุพโภชนาการรวมกันคิดเป็น 18% ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด 

ภาระโรคที่หนักที่สุดจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อในไทย ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปและแนวคิดเรื่องการบริโภคนิยมนับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก สำหรับสาเหตุซึ่งเป็นปัจจัยด้านลบอื่นๆ ได้แก่ การขาดการควบคุมและป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพ หรือการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปัจจัยด้านพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตสมัยใหม่และการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ เช่น การรับประทานอาหารแปรรูป อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง การสูบบุหรี่ การบริโภคแอลกอฮอล์ในปริมาณสูง การรับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ ขาดการเคลื่อนไหวและกิจกรรมทางกาย ทั้งหมดนี้ ล้วนส่งผลให้เกิดโรคอ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง ภาวะเมตาบอลิกซินโดรม ซึ่งล้วนแล้วแต่นำไปสู่โรคไม่ติดต่อทั้งสิ้น

และเมื่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน มีความสำคัญมากกับการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ทั้งการปรับเปลี่ยนนโยบายสาธารณะ รูปแบบบริการสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เครือข่ายทางสังคม และข้อมูลข่าวสารเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ดังนั้น จึงได้ให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และชุมชนเข้ามามีบทบาทในทุกขั้นตอนของการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน ควบคุมโรคไม่ติดต่อ ในฐานะที่ อปท. มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องดูแลสุขภาพของประชากรในขอบเขตที่รับผิดชอบ และ สวรส. ในฐานะหน่วยงานวิจัย สร้างและจัดการความรู้ ขอส่งมอบองค์ความรู้จากงานวิจัยให้แก่ชุมชน สอดคล้องกับบริบทของบชุมชนและแนวคิดการปรับพฤติกรรม ขอนำเสนอรูปแบบการผสานความร่วมมือในดำเนินงานของชุมชนท้องถิ่นจนเกิดเป็นรูปธรรมที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้ 

ยกระดับความรู้สู่รูปธรรม   สร้างสุขภาพดี “ที่ชุมชน”

โมเดล  1 :  กิจกรรมปรับพฤติกรรม จากความรู้สู่รูปธรรมสร้างสุขภาพดีในชุมชน จากการศึกษาวิจัยผลของการออกกำลังกายและการบริโภคอาหารต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรไทยในจังหวัดอุบลราชธานี

การศึกษาพบว่าการออกกำลังกาย 5 วันๆละ 60 นาที/สัปดาห์ จะช่วยลดภาวะสมองเสื่อมได้ 57% หรือพบว่าคนทั่วไปทราบว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมให้หันมาออกกำลังกายได้ ต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อม ด้านสังคม/ชุมชนเข้ามาช่วย จึงได้ออกแบบเป็นกิจกรรมทดลอง เพื่อปรับเปลี่ยน 4 พฤติกรรม ได้แก่ ด้านอาหาร ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ และดื่มสุรา  โดยการจัดการใน 4 ระดับ คือ ระดับบุคคล ครัวเรือน กลุ่ม และชุมชน/ประชาคม   

โดยเริ่มจากการอบรมการใช้เครื่องมือและแนวทางให้คำปรึกษา  โดยการทำงานของทีมวิจัยร่วมกับเจ้าหน้าที่รพ.สต. และอสม. ตั้งแต่ในระดับบุคคล โดยให้คำแนะนำการออกกำลังกายรายบุคคลจากแบบประเมินปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมทางกาย ระดับครัวเรือน เช่น การเยี่ยมบ้านเยือนครัว  โดยการติดสติ๊กเกอร์บนขวดน้ำปลาเพื่อเป็นการเตือนระวังการกินเค็ม ระดับกลุ่มจัดการความรู้ โดยจัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนในกลุ่มมีปัญหาคล้ายกัน เช่น ติดเหล้า/บุหรี่ และระดับชุมชน/ประชาคม จัดเวทีให้ชุมชนหามาตรการของชุมชน เช่น สร้างสวนสุขภาพในหมู่บ้าน , ปลูกพืชผักสวนครัวและสมุนไพรสุขภาพ  โดยผลดำเนินการใน 1 ปี ที่มีการนำไปใช้จริงกับอาสาสมัครในหมู่บ้านทดลอง 30 หมู่บ้าน 1,767 คน จาก 15 อำเภอ ใน จ.อุบลราชธานี นั้น พบว่า หมู่บ้านที่ได้รับกิจกรรมทดลอง มีการปรับพฤติกรรมการออกกำลังกาย ร้อยละ 68.8 มากกว่าหมู่บ้านที่ไม่ได้ทดลองทำกิจกรรม ที่มีเพียงร้อยละ 41.1

โมเดล  2 :  โรงเรียนรักเด็กรักษ์สุขภาพ  กับการสร้างสิ่งแวดล้อมทางกายภาพสำหรับเด็กทุกคน จากการศึกษาผลการใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อการลดน้ำหนักของเด็กมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเด็กมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน ในโรงเรียนเทศบาล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นโปรแกรมที่ใช้แนวคิดทฤษฎีทางสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์ตามแบบจำลองเชิงนิเวศพฤติกรรม มาเป็นเครื่องมือกำหนดการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี  จากข้อค้นพบในการศึกษาประเด็นการพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ  ซึ่งพบว่า  เป็น 1 ในปัจจัยที่มีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการลดน้ำหนักในเด็ก   

ยกระดับความรู้สู่รูปธรรม   สร้างสุขภาพดี “ที่ชุมชน”

การดำเนินงานของโรงเรียนจึงเริ่มจากนโยบายผู้บริหารที่กำหนดให้มีการจัดสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่เอื้อต่อสุขภาพหรือทำกิจกรรมทางกาย เช่น ให้มีลานกิจกรรม ซึ่งเด็กจะเลือกทำกิจกรรมตามที่ถนัดพร้อมให้เบิกยืมอุปกรณ์กีฬาได้ การจัดกิจกรรมกีฬาสำหรับนักกีฬาในเด็กที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์  และได้มีกิจกรรมเสริมโดยนักเรียนทุกคนรวมทั้งนักเรียนที่มีน้ำหนักเกิน ต้องวิ่งสะสมรอบหรือออกกำลังกายที่ถนัดและบันทึกกิจกรรม  ผลการติดตามกลุ่มทดลอง 51 รายที่มีน้ำหนักเกิน พบว่า พฤติกรรมการออกกำลังกายจากเดิมที่มีการออกกำลังกายระดับสูง/หนัก เพียง 4 ราย ระดับปานกลาง 35 ราย ระดับเบา 12 ราย   เปลี่ยนไปเป็นมีการออกกำลังกายระดับสูง/หนัก 33 ราย ระดับปานกลาง 13 ราย ระดับเบา 5 ราย ทั้งนี้ การมีพื้นที่กิจกรรมทางกาย จะส่งผลต่อการมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นและช่วยลดน้ำหนักของเด็กต่อไป

โมเดล 3 : ระบบจัดการขยะท้องถิ่น  สู่โมเดลรับมือปัญหาขยะของพื้นที่ จากโครงการพัฒนากรอบการทำงานในระดับเขตสาธารณสุข จังหวัด และอำเภอ

 ระบบการจัดการขยะในพื้นที่อำเภอกุดบาก จ.สกลนคร  ซึ่งทีมวิจัยได้ศึกษาการทำงานระดับเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พบว่า  ท้องถิ่นมีรูปแบบการจัดการขยะอินทรีย์ และขยะรีไซเคิลซึ่งสามารถจัดการได้เองในครัวเรือนหรือชุมชน  โดยการสนับสนุนการแยกและรับซื้อขยะรีไซเคิล ผ่านการดำเนินงานโครงการธนาคารขยะของเทศบาลในพื้นที่   ส่วนขยะที่ไม่สามารถจัดการได้ เช่น ขยะอันตราย ย่อยสลายยาก และขยะอุตสาหกรรม ได้ส่งเข้าระบบตามแผนบริหารจัดการขยะมูลฝอยของ จ.สกลนคร โดยส่งเข้าบ่อขยะของเทศบาล ต.กุดบาก หรือบ่อขยะของเทศบาล ต.พังโคน ส่วนขยะที่ให้เอกชนมารับไปกำจัดด้วยเตาเผาขยะติดเชื้อที่ จ.สระบุรี  ได้แก่ ขยะติดเชื้อในคลินิก รพ.สต.ตำบล และโรงพยาบาล

ยกระดับความรู้สู่รูปธรรม   สร้างสุขภาพดี “ที่ชุมชน”

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญของการจัดการขยะของท้องถิ่นนั้น คือ มีรูปแบบในกำจัดขยะโดยท้องถิ่นเอง ร่วมกับการส่งต่อจัดการ ซึ่งช่วยให้เกิดการวางแผนจัดการขยะอย่างเป็นระบบและครบวงจร ทั้งนี้ ทีมวิจัยจึงได้ต่อยอดการดำเนินงานดังกล่าวโดยสร้างระบบเมตริก (Metric) การจัดการ/รับมือปัญหาขยะ และใช้เป็นข้อเสนอแนวทางการจัดการที่กว้างขวางและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้เกิดกลไกจัดการที่มีสมรถนะในการทำงานได้ครอบคลุมไปในหลายพื้นที่มากขึ้น

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่าง ท้องถิ่นที่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้หลากหลายตามหลักการของการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ อันจะเกิดผลที่เป็นประโยชน์กับประชาชนในชุมชนท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง 

โดย... หน่วยงานสื่อสาร สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข