“ประยุทธ์” เอาอยู่ 5 ก๊ก พปชร.

“ประยุทธ์” เอาอยู่   5 ก๊ก พปชร.

กว่า 3 เดือนหลังหย่อนบัตร การจัดตั้งรัฐบาลคืบหน้ามาถึง “เก้าอี้ ครม.” ที่ช่วงชิงกันจนนาทีสุดท้าย

ชนิดที่ วนกันครบ ทุกกลุ่มก๊วนขบวนเรือแป๊ะ ตั้งแต่พรรคแกนนำ พรรคร่วม พรรคเล็ก พรรคจิ๋ว ที่สลับบทกันออกมาทวงโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีตามสัญญา

อย่างที่ มือกฎหมายรัฐบาล รองนายกฯวิษณุ เครืองาม เปรียบเปรยในเวทีสัมมนาส.ว.เมื่อวาน ถึงสภาพรัฐนาวา นายกฯลุงตู่ ว่าอยู่ในสภาพเรือแป๊ะที่ปริ่มน้ำ “จะไปลำบากมากขึ้น เพราะไม่มีใครตามใจ ขณะที่กัปตันต้องตามใจลูกเรือ”

ขณะที่คีย์แมนพรรคร่วมรัฐบาล ถึงกับเอ่ยอย่างปลงๆ ว่า “บรรยากาศการเมือง ไม่เหมือนเริ่มต้นฮันนีมูน แต่เหมือนจุดจบ ใกล้ครบวาระ ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ทุกระยะ เพราะสภาพพรรคแกนนำ กลุ่มก๊วนต่อรองกันหนักมาก”  

ระหว่างบรรทัด ที่ “แกนนำสามมิตร” อย่าง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ตบะแตก ได้คลี่ภาพการเมืองภายในพลังประชารัฐ ให้เห็นถึงโครงสร้าง โดยเฉพาะผู้มีบทบาทในการบริหารจัดการในพรรค ผ่านบทสนทนาของเขากับนายกฯประยุทธ์ 

โดยเฉพาะ 2 รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และรองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์

ถือเป็นการ ฉายภาพ 2 ขั้วอำนาจที่แท้จริง ในพลังประชารัฐ ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาตั้งแต่ริเริ่มก่อร่างสร้างพรรค

องคาพยพของ พลังประชารัฐที่แยกย่อยได้ราว 5 กลุ่ม สามมิตร กปปส. ด้ามขวานไทย กลุ่มภาคเหนือ กลุ่มภาคอีสาน กลางเหนือมาร่วมหัวจมท้ายกันอย่างที่นายกฯ ลุงตู่ว่า จึงไม่แปลกที่จะต้องเผชิญปัญหา“ป่วน” ในยามที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

แล้วใครจะ “เอาอยู่” ในสถานการณ์ “เรือปริ่มน้ำ” เช่นนี้

ในเมื่อชัดเจนแล้วว่า หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ก็ล้วนแล้วแต่ “ไร้อำนาจ” ในการตัดสินใจ และรู้ๆ กันอยู่ว่า ซ้ายหันขวาหัน ภายใต้บังคับบัญชาของใคร

สภาพที่แกนนำตัวจริง ต่างปฏิเสธการ“อยู่เบื้องหน้า” จึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ พลังประชารัฐพร้อมที่จะ เป็น “เรือแตก” ได้ทุกเมื่อ 

นี่จึงเป็นเหตุให้ เกิดความพยายามผลักดัน “นายกฯลุงตู่” ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรค เพื่ีอกำกับดูแล

แต่นาทีนี้ นายกฯลุงตู่ ยังลังเล ที่จะก้าวขึ้นมาเป็น “นักการเมืองอาชีพ” เต็มตัว

เพราะการเป็น “นายกฯคนกลาง” แล้วเบื้องหลัง มีกองทัพ โดยเฉพาะ “บิ๊กแดง” ที่พร้อมหนุนทุกกระบวนท่า

อาการถอยกรูดของนักการเมือง เพราะไม่อยากอยู่ภายใต้ระบอบทหาร ไปจนหาทางออกไม่เจอ