คุ้ยขยะเพื่อช่วยโลก

คุ้ยขยะเพื่อช่วยโลก

ถ้าท่านไปสิงคโปร์และเห็นกลุ่มคนแต่งตัวดีกำลังคุ้ยถังขยะอยู่

อย่าคิดว่าพวกเหล่านี้เพี้ยนหรือยากจนพวกเขาที่เป็นคนปกติดีมีอุดมการณ์กำลังทำงานเพื่อช่วยโลก

สารคดี รอบโลกของคุณกรุณา บัวคำศรี นำเรื่องราวของคนกลุ่มนี้ที่เรียกตนเองว่า Freegan มาถ่ายทอดให้คนไทยได้รับรู้อย่างน่าสนใจ ผมติดตามสุภาพสตรีแสนเก่งผู้นี้มายาวนานเธอทำรายการ “รอบโลก” หลายร้อยตอน ดูได้ใน YouTube รายการของเธอล้วนแปลกใหม่ให้ความรู้ เดินเรื่องกะทัดรัด ร้อยเรียงด้วยบทที่สละสลายและด้วยน้ำเสียงที่ชวนฟังวันนี้ขอเอาเรื่องนี้มาขยายความต่อ

คนกลุ่มนี้ตระหนักว่ามีวัตถุดิบประกอบอาหารอาหารในถุงซองและกระป๋องที่ยังมีคุณภาพดีถูกทิ้งในถังขยะเป็นปริมาณมากมายในแต่ละวัน ทั้งนี้เพราะหมดอายุผักผลไม้ถูกทิ้งเพราะหน้าตาไม่สวยรวมกันวันหนึ่งถึง 1,000-2,000 ตันต่อวัน อย่างน่าเสียดายในขณะที่ยังมีคนจนในสิงคโปร์ที่ต้องการอาหารอย่างเพียงพอ รวมทั้งประเทศอาจมีถึง10% นอกจากนี้ยังเห็นช่องทางที่จะได้สิ่งของมาบริโภคฟรีอีกด้วย

ในตอนแรกสมาชิกของกลุ่มออกไปค้นหาของในถังขยะซึ่งได้มามากมายในแต่ละวัน อีกทั้งไปรับอาหารกระป๋อง เครื่องดื่ม อาหาร junk food ในซองตลอดจนเครื่องปรุง ผักผลไม้จากร้านทั้งหลายที่โยนทิ้ง แต่ปัจจุบันงานคุ้ยขยะมีน้อยลงเพราะเจ้าของร้านเอาใส่รถมาให้ เมื่อได้ของมาสมาชิกก็ร่วมกันคัดและจัดเป็นประเภทใส่เป็นลังไว้ 2 อาทิตย์ต่อครั้ง สมาชิกก็จะมาเลือกไปอย่างเป็นระเบียบไม่มีการแย่งชิง เอาไปมากเท่าใดก็ได้แต่กฎเหล็กก็คือห้ามเอาไปขายต่อ

ของที่เอาไปก็อยู่ในสภาพดีทั้งนั้น เพราะมีการคัดกรองทิ้งไปก่อนนำมาให้เลือก เพียงแต่ถ้าเป็นผักผลไม้อาจมีหน้าตาไม่งดงามซึ่งเป็นเหตุผลที่คนขายต้องโยนทิ้งเพราะผู้ซื้อชอบที่จะเห็นและซื้อแต่ของหน้าตาดีเท่านั้น

สำหรับเครื่องกระป๋อง ซองอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารลักษณะอื่นๆ นั้น คนทั่วไปจะไม่ตระหนักว่ามี 2 วันที่ระบุไว้คือ วันที่ควรบริโภคก่อน(best before) กับวันที่หมดอายุ(expiration date) ตัวเลขแรกแนะนำว่าของจะมีคุณภาพและโภชนาการสมบูรณ์(ภายใต้สมมุติฐานของการเก็บของผู้ขายและผู้ซื้อ)ก่อนวันที่นั้นๆ ส่วนตัวเลขหลังคือหมดอายุซึ่งมิได้หมายถึงว่าจะกินแล้วตายหรือป่วย หากแนะนำว่า ไม่ควรกิน(มักกำหนดไว้ก่อนวันหมดอายุอย่างแท้จริงนานพอควรเพื่อเป็นการป้องกันการถูกฟ้องร้องหรือเสียชื่อเสียงหากบริโภคไป)

วันที่ทั้ง 2 ดังกล่าวกลุ่มนี้เชื่อว่าไม่มีความหมายมากนักโดยเฉพาะตัวเลขแรกที่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการเก็บรักษา ส่วนตัวเลขหลังถ้าหน้าตายังดีอยู่และเกินวันที่ไม่นานก็บริโภคได้ สาเหตุที่ผู้ผลิตใส่วันที่ไว้ก็เพราะต้องการรักษาคุณภาพและจะได้ขายได้ปริมาณมากขึ้น มนุษย์ถูกฝังหัวเรื่องตัวเลขหมดอายุมายาวนาน ผู้ผลิตจึงหาประโยชน์จากแง่มุมนี้ได้มาก

กลุ่มนี้ที่สิงคโปร์เข้มแข็งมีสมาชิกร่วมงานกันพร้อมหน้า เขาไม่อายไม่รู้สึกเสียเกียรติหรือศักดิ์ศรีเพราะเขามีอุดมการณ์ที่ไม่ต้องการให้ทรัพยากรของโลกถูกใช้ไปอย่างไร้ความหมายโดยการบริโภคอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ก่อปัญหาขยะและประการสำคัญได้ของมาใช้อย่างฟรี เป็นการช่วยผู้ขายในการกำจัดและสมาชิกได้ประโยชน์ด้วยในการลดค่าใช้จ่าย

ขบวนการFreegan มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในสิงคโปร์ ต้นกำเนิดของมันคือสหรัฐ ในยุคทศวรรษ 1960 ของฮิปปี้ และสงครามเวียดนามซึ่งมีการต่อต้านทุนนิยมและค่านิยมการบริโภคอย่างไม่สิ้นสุด ปัจจุบันคำว่าfreegan ในภาษาอังกฤษหมายถึงคนที่ปฏิเสธบริโภคนิยมและพยายามช่วยสิ่งแวดล้อมด้วยการลดขยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำอาหารที่โยนทิ้งแล้ว (rescued food) และของใช้อื่นๆกลับมาใช้อีกครั้ง

คำว่าfreegan มาจาก free + vegan (พวกไม่นิยมบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทั้งหมด) ถูกใช้ครั้งแรกในปี1994 โดยปัจจุบันมักมีความหมายไปทางพวก“ค้นหาของจากขยะ” ซึ่งมีความหมายไป ทางลบ ปัจจุบันบางกลุ่มไม่มีการคุ้ยขยะแต่มีคนเอา สินค้าขยะ” มาส่งถึงที่ดังเช่นกรณีกลุ่มของสิงคโปร์

กลุ่มFreeganต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่เป็นลบจากสาธารณชนในเรื่องการคุ้ยหาของจากถังขยะกลุ่มFreeganนั้น มีอยู่ในหลายประเทศมานานพอควร เช่น ในอังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส คานาดา กรีซ บราซิล ออสเตรีย โปแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ และอีก 6 เมืองใหญ่ในสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองนิวยอร์ค อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันในหลายเมืองและหลายประเทศข้างต้น กลุ่ม Freegan ไม่เข้มแข็งหากมีกลุ่มอุดมการณ์คล้ายกันก็มักใช้ชื่ออื่น

ในบ้านเราโดยเฉพาะกรุงเทพฯ มีอาหารที่ถูกโยนทิ้งในลักษณะดังกล่าวมหาศาลในแต่ละวันจากร้านค้าทั้งหลาย เชื่อว่ามีผู้คนยากจนจำนวนมากที่ได้ประโยชน์แต่ยังไม่มีใครสำรวจหรือศึกษา เรายังไม่มีกลุ่มคนที่กล้าต่อสู้กับความรู้สึกด้านลบของสาธารณชนไทยที่มีต่อการเก็บของจากถังขยะและใช้ “สินค้าขยะ” ดังเช่นกลุ่มนี้

ถ้าดูสถิติโลกก็จะพบว่ากลุ่มFreegan กำลังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลก การจะมีโลกที่ยั่งยืนอยู่กันนานเท่านานอย่างมีความสุขถ้วนหน้านั้นต้องแก้ไขปัญหาหลายประการดังนี้ (1)ในแต่ละปี 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตทั้งหมดในโลก(ประมาณ 1.3 พันล้านตัน)ถูกทิ้งในถังขยะโดยทั้งผู้บริโภคและผู้ขายหรือเน่าเสียจากการขนส่งหรือการเก็บเกี่ยวที่ขาดประสิทธิภาพ (2)ในปี2050 ซึ่งคาดว่าจะมีประชากรถึง 9.6 พันล้านคนนั้น ถ้าเราบริโภคกันในลักษณะปัจจุบันเราต้องมีโลกรวมถึง 3 ใบ จึงจะมีทรัพยากรเพียงพอ

(3)ประชากรโลกประมาณ2 พันล้านคน ใน7 พันล้านคน มีน้ำหนักเกินพอดี ในขณะที่ประชากร 1 พันล้านคน มีภาวะทุโภชนาการและอีก 1 พันล้านคนอดอยาก

มนุษย์มิได้กินทิ้งกินขว้างเท่านั้น หากยังทิ้งถุงพลาสติกปริมาณมหาศาลซึ่งจะแตกย่อยเป็น nano-plastic ที่มีขนาดเล็กจนมองไม่เห็นปนเปื้อนอยู่ในอาหารและน้ำซึ่งปัจจุบันวงการแพทย์กำลังเร่งศึกษาว่าจะมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร

การผลิตและการบริโภคอย่างไม่รู้จบในโลกที่มีทรัพยากรจำกัดไม่อาจดำเนินต่อไปได้ หนทางแก้ไขก็คือการบริโภคที่ลดน้อยลง ลดการสูญเสียและมีการคาดหวังที่น้อยลงและมีการดำรงชีวิตแนวเศรษฐกิจพอเพียง