ไทยกำลังพลาดโอกาสทองจากสงครามการค้า

ไทยกำลังพลาดโอกาสทองจากสงครามการค้า

นอกเหนือจากการขึ้นบัญชีดำของหัวเว่ยที่นำไปสู่การพัฒนาโอเอสขึ้นมาแข่งขันกับแอนดรอยด์ของกูเกิลแล้ว

ยังมีอีกกระแสข่าวที่กำลังคุกรุ่น ที่อาจนำไปสู่การปฏิวัติระบบนิเวศของอุตสาหกรรมดิจิตอล โดยเฉพาะในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นก็คือ การแสวงหาฐานการผลิตใหม่ของแอปเปิล โดยคาดว่าจะเป็นการย้าย 15% - 30% ของการผลิตออกจากประเทศจีนไปสู่ฐานการผลิตใหม่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ เป็นเพื่อการหลบเลี่ยง ภาษีนำเข้าตามคำขู่ของ ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่อาจสูงขึ้นถึง 25% การเคลื่อนไหวของแอปเปิลจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดความคาดหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไอโฟนที่เป็นสินค้าหลักของแอปเปิล กลับมีสหรัฐเป็นตลาดถึง 37%

ซึ่งเป็นครั้งแรก ในรอบเกือบสองทศวรรษ ที่แอปเปิลจะย้ายฐานการผลิตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ลงทุนพัฒนาฐานการผลิตในประเทศจีน

ซึ่งในปัจจุบัน ชาวจีนกว่า 5 ล้านคน ทำงานอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของแอปเปิล ซึ่งรวมไปถึงโปรแกรมเมอร์กว่า 1.8 ล้านคน แม้บุคลากรเหล่านี้ส่วนใหญ่จะทำงานให้กับซัพพลายเออร์ของแอปเปิล แต่ก็มีกว่า 10,000 คน ที่เป็นพนักงานของแอปเปิลโดยตรงในประเทศจีน

การย้าย 30% ของฐานการผลิตออกจากประเทศจีน ย่อมหมายถึงการจ้างงานกว่า 1.5 ล้านคน ในประเทศใหม่ที่แอปเปิลเลือก และรวมไปถึงโปรแกรมเมอร์ 540,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ใช่น้อย และยังไม่นับเงินทุนและรายได้ที่ยังไม่สามารถประมาณได้ ที่จะหลั่งไหลเข้ามาในประเทศใหม่

สำหรับผู้ที่ติดตามข่าว ย่อมต้องคาดหวังว่า ประเทศไทย จะเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับ “ส้มหล่น” จากสงครามการค้าในครั้งนี้

เปล่าเลย ประเทศใหม่ที่แอปเปิลกำลังศึกษาอยู่ ได้แก่ เม็กซิโก อินเดีย เวียดนาม และ อินโดนีเซีย จะเห็นได้ว่า สามจากสี่ประเทศที่แอปเปิลกำลังศึกษานั้นอยู่ในเอเซีย ในขณะที่ สองในสี่นั้นมาจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

แต่ทำไมไม่มีประเทศไทย

จากรายงานในสื่อหลายฉบับพบว่า ปัจจัยหลักคือความพร้อมของประเทศ ซึ่งรวมไปถึง โครงสร้างพื้นฐาน บุคคลากร และนโยบายสนับสนุน ซึ่งเมื่อเกือบสองทศวรรษที่แล้ว จีนมีความพร้อมที่สุด แต่ในปัจจุบัน แม้จีนยังมีความพร้อมที่เหนือชั้นอยู่ แต่สงครามการค้ากลับเป็นอุปสรรคใหญ่ ที่ทำให้ต้องไดเวอร์ซิฟายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิตของกว่า 90% ของผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล

ในปัจจุบัน แอปเปิลกำลังศึกษาปัจจัยความพร้อมของประเทศต่างๆ และมีการต่อรองกับรัฐบาลของแต่ละประเทศ เพื่อขอนโยบายสนับสนุนพิเศษ​ และกำลังมีกระแสข่าวว่า อินเดีย กับ เวียดนาม กำลังเป็นประเทศที่แอปเปิลชอบมากที่สุด สำหรับการสร้างฐานการผลิตใหม่

การเข้ามาลงทุนสร้างฐานการผลิตของแอปเปิิล ไม่ว่าในประเทศใด ย่อมเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้น เพราะเป็นการนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศ เพื่อจ้างงานบุคลากร ถ่ายทอดเทคโนโลยี และส่งสินค้าออกไปขายในต่างประเทศ เพื่อนำรายได้กลับเข้ามาในประเทศ

จะเป็นคนละรูปแบบกับธุรกิจข้ามชาติ ที่เข้ามาลงทุนในประเทศ เพื่อทำตลาดและนำสินค้าเข้ามาขายในประเทศ และส่งรายได้และกำไรกลับประเทศแม่เท่านั้น ซึ่งบางธุรกิจยังสามารถหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีภายในประเทศได้อีก

รูปแบบที่สองนี้ จะเป็นสิ่งที่คนไทยมักคุ้นเคยกันดีในอุตสาหกรรมดิจิตอล

กรณีของแอปเปิล ต้องถือเป็นข่าวใหญ่ เพราะประเทศได้ที่ได้ส้มหล่มไป จะได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านอย่างอย่างหาที่จับไม่ได้

แต่ตลกร้ายของสหรัฐอเมริกาคือ การขึ้นภาษีนำเข้าตามคำขู่ของ ประธานาธิบดีทรัมป์ กลับไม่ได้มีการผลในการย้ายฐานการผลิตกลับคืนสู่อเมริกา เมื่อแอปเปิล ซึ่งเป็นตัวอย่างของธุรกิจชั้นนำ กลับกำลังแสวงหาฐานการผลิตใหม่ที่อยู่นอกสหรัฐเช่นเดิม

กรณีของแอปเปิล เป็นเพียงตัวอย่างที่ได้ตกเป็นข่าว เชื่อว่าอีกหลายธุรกิจที่ใช้ประเทศจีนเป็นฐานการผลิต ก็ย่อมที่จะต้องแสวงหาฐานการผลิตใหม่นอกประเทศจีนเช่นกัน และมีความเป็นไปได้สูง ที่ธุรกิจเหล่านี้ ย่อมที่จะตัดสินใจเลือกประเทศใหม่ตามแอปเปิล เพราะประเทศที่แอปเปิลเลือก ย่อมต้องมีความพร้อมสูงสุด ตามที่แอปเปิลได้ศึกษามาอย่างดีแล้ว

แม้ประเทศไทยในยุคปัจจุบัน จะให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมดิจิตอลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ประเทศต่างๆ ที่อยู่ในรายชื่อของแอปเปิล ได้เริ่มต้นก่อนประเทศไทยมาเป็นทศวรรษแล้ว กรณีดังกล่าว จึงสมควรต้องศึกษา เพราะหากไทยต้องมาพลาดโอกาสทองจากสงครามการค้า จะยิ่งทวีความเหลื่อมล้ำ ในเชิงการเสียเปรียบ กับประเทศเพื้อนบ้านยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในด้านความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมดิจิตอล