อยู่ในโอวาทด้วยระบบแต้มของจีน

อยู่ในโอวาทด้วยระบบแต้มของจีน

ใครที่เล่น Facebook อาจรู้สึกตกใจที่บ่อยครั้งมันจำหน้าคุณได้ รู้ชื่อคุณถูกต้องและเอาไปโยงใยกับเพื่อนคนอื่นโดยที่เราไม่รู้ตัว

ถ้าเพียงแค่นี้ยังขวัญอ่อน สิ่งที่เล่าต่อไปนี้อาจทำให้ท่านไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

ปัจจุบันมีการพัฒนาซอฟแวร์โปรแกรมที่เรียกว่า facial recognition กล่าวคือ มันบันทึกใบหน้าและชื่อบุคคลไว้และเมื่อพบเห็นที่ไหนอีก ก็บอกได้หมดว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหนและมีข้อมูลอื่นๆประกอบตามที่บันทึกไว้

จีนก้าวหน้ากว่าใครทั้งหมดในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะผ่าตัดเปลี่ยนหน้าอย่างไรก็ยากที่จะหนีพ้นเพราะมันบันทึกระยะห่างระหว่างจุดต่างๆ บนใบหน้า รูปลักษณ์ของใบหู ตลอดจนลักษณะของตา จมูก คิ้ว ปาก ฯลฯ แม้แต่ภาพหน้าที่ถ่ายไม่ชัดเจนหรือเห็นไม่เต็มหน้าทั้งหมดก็สามารถบอกได้ด้วยความแม่นยำที่สูงมาก

เมื่อเร็วๆ นี้ ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองแรกของสหรัฐ ที่ออกเทศบัญญัติห้ามท้องถิ่นใช้ซอฟแวร์นี้เพราะเกรงว่าจะไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองโดยเห็นว่าผลเสียสูงกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ

facial recognition ซอฟแวร์อาศัยAI (ปัญญาประดิษฐ์)ในการตรวจข้อมูลของใบหน้าทั้งหมดที่เก็บบันทึกไว้เพื่อตรวจเช็คกับข้อมูลที่เก็บไว้ก่อนหน้า ซึ่งเอามาจากรูปถ่ายจากเอกสารจากภาพถ่ายเมื่อทำบัตรต่าง ๆ และที่สำคัญจากข้อมูลในโซเชียลมีเดียที่ปรากฏรูปและชื่อของบุคคลนั้น Facebookก็เป็นแหล่งข้อมูลหนึ่งที่สำคัญ

เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์มหาศาลตั้งแต่ใช้อนุญาตการเข้าสถานที่ ใช้เพื่อยืนยันตัวตน(biometric) ติดตามและตรวจจับผู้ทำผิดกฎหมายทั้งในปัจจุบันและที่หลบหนี ตั้งแต่คดีอาชญากรรมใหญ่จนถึงการทำผิดกฎจราจร การติดตามคนหาย การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ตรวจอาการของโรค ฯลฯ

ในปี2017 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในรัฐบัญญัติให้มีการบันทึกข้อมูลหน้าตาของผู้โดยสารจากต่างประเทศทุกคนที่เดินทางผ่านสนามบินใหญ่ 20 แห่ง ของสหรัฐ ให้เสร็จก่อนปี 2021 เพื่อประโยชน์ในการใช้ซอฟแวร์ดังกล่าว

ข่าวนี้ชวนให้ขบขันเพราะภายในปี2020 จีนจะใช้ซอฟแวร์ facial recognition บันทึกหน้าตาพลเมือง 1,400 ล้านคนที่มีอายุเกิน 18 ปี รวมทั้งผู้เดินทางจากต่างประเทศด้วย ไม่ใช่ไม่กี่ล้านคนตามที่สหรัฐมีแผนการ

ในขณะที่คนอเมริกันกังวลกับซอฟแวร์facial recognition เพราะจะล้ำสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล คนจีนกลับตอบรับโครงการนี้เพราะเชื่อว่าจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้“ความไว้เนื้อเชื่อใจ”ระหว่างกันของคนจีนที่หายไปนานกลับคืนมา

นักสังคมวิทยาจีนระบุว่า สังคมจีนขาดความไว้วางใจกันและคาดคิดว่าจะถูกโกงหรือรังแกจากผู้อื่นเสมอ ถึงแม้ตนเองจะเป็นผู้ไร้เดียงสาก็ตาม การขาดความไว้วางใจนี้ติดพันมาจากการปฏิวัติวัฒนธรรม สมัยเหมาเจ๋อตงที่ส่งเสริมให้เพื่อนบ้านเป็นศัตรูกัน ต่างฝ่ายต่างพร้อมที่จะรายงาน ความผิดปกติของเพื่อนบ้านให้พรรคทราบ การมีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบความจริงได้จะเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนความวางใจและประกันภัยได้เป็นอย่างดี

ทางการจีนมิได้เพียงแต่ใช้ facial recognition โปรแกรมเป็นเครื่องมือในการป้องกันและปราบปรามการกระทำที่ผิดกฎหมายเท่านั้น หากไปไกลกว่านั้นมาก กล่าวคือใช้มันเป็นเครื่องมือของการสร้างระบบที่เรียกว่า Social Credit System หรือระบบแต้มของชื่อเสียงทางสังคม ซึ่งคล้ายกับระบบการให้แต้มเพื่อใช้ในการประเมินการให้กู้ยืมของสถาบันการเงินในหลายประเทศ

ระบบนี้อยู่ในขั้นทดลองตั้งแต่ปี2014 ในกว่า 40 ท้องถิ่น โดยคาดว่าจะนำมาใช้ทั่วประเทศภายใต้มาตรฐานเดียวกันในปี 2020 โดยตั้งใจให้เป็นระบบตรวจสอบผลักดันและกดดันให้คนจีนทั้งประเทศมีพฤติกรรมที่ เหมาะสม

จากการทดลองแต่ละคน และแต่ละบริษัทธุรกิจ จะได้รับแต้มระหว่าง 350-950 ถ้าทำสิ่งไม่ดี เช่น ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ข้ามถนนในที่ห้าม ทะเลาะเบาะแว้ง นินทาซุบซิบ คดโกง มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ฯลฯ และประการสำคัญมีการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลจะถูกตัดแต้มโดยไม่บอกสาเหตุหากถูกตัดจนต่ำถึงระดับหนึ่ง เช่น 300 ก็จะถูกตัดสิทธิในการจองรถไฟฟ้าความเร็วสูงล่วงหน้า ลูกถูกตัดสิทธิเรียนในโรงเรียนดีๆ ไม่สามารถโดยสารเครื่องบินได้สมัครเข้าทำงานไม่ได้รับบริการจากรัฐน้อยลง ถูกตัดสิทธิในการประมูลงาน ฯลฯ

ดูเผินๆ ก็ดีที่เป็นการบังคับประชาชนให้อยู่ในร่องในรอยให้อับอาย หากทำสิ่งไม่ดี แต่ถ้าดูลึกลงไปแล้วจะไม่เห็นผิดไปจากที่เทศบาลเมืองซานฟรานซิสโกเห็น นั่นก็คือ การละเมิดสิทธิเสรีภาพพลเมืองจะอยู่ ในโอวาท” ไม่มีใครกล้าประท้วงหรือแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลทำเพราะจะเสียแต้ม (แค่ถือป้ายประท้วงทางการก็รู้จักชื่อและที่อยู่อาจไปคอยอยู่ที่บ้านก่อนกลับไปถึงด้วยซ้ำ)

หากทำดีเช่น ทำงานจิตอาสา บริจาคเงินหรือทำความดีเช่นเก็บของตกและคืนเจ้าของ ก็จะมีป้ายชื่นชมความดี และได้แต้มเพิ่มสะสมจนหลุดจากแบล็คลิสต์ และกลับมาได้สิทธิประโยชน์เหมือนคนทั่วไปอีกครั้ง

จากการสำรวจพบว่า คนจีนกว่าร้อยละ 80 เห็นชอบกับระบบ Social Credit System (เข้าใจว่าเวลาตอบคำถามไม่มีกล้องถ่ายอยู่ด้วย) เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เป็นการปกป้องการถูกรังแกและช่วยให้ไว้ใจกันมากยิ่งขึ้น

ระบบเช่นนี้เป็นสิ่งที่ชาวโลกกำลังจับตามมอง เพราะอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลที่มากขึ้นและหากประสบผลสำเร็จอาจมีการเลียนแบบในสังคมอื่น เมื่อสิทธิและเสรีภาพเป็นหัวใจของการดำเนินชีวิตแบบประชาธิปไตย การเลื่อมใสในระบบ Social Credit System กันมากอาจบ่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยในระยะยาวก็เป็นได้

Social Credit System โดยแท้จริงแล้วมิใช่ของใหม่เคยมีการทดลองใช้ในชิลี ในช่วงทศวรรษ1970 และ 1980 ของจอมเผด็จการ Pinochet ในจีนเองในช่วง2001-2002 ก็มีการทดลองในสมัยของประธานาธิบดีหูจิ่นเทา เพียงแต่ในสมัยก่อนไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขาดเทคโนโลยีขั้นสูงสนับสนุน

ประชาชนนั้นเปรียบเสมือนมหาสมุทร รัฐบาลคือนาวาลำน้อยที่ล่องลอยถ้าคลื่นลมแรงมหาสมุทรไม่ เป็นใจ ระบบใดก็อยู่รอดไม่ได้ ช่วงเวลาและสภาพอากาศจะซี้ว่า Social Credit System อยู่รอดในจีน ซึ่งเป็นแล็บทดลองใหญ่แห่งแรกของโลกหรือไม่