ฤา “เฟซบุ๊ค” จะกลายเป็น...บริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลก

ฤา “เฟซบุ๊ค” จะกลายเป็น...บริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลก

จากรายงาน “Global 2000” ของนิตยสารฟอร์บ ที่กล่าวถึงบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 2,000 แห่งตามขนาดของสินทรัพย์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา

พบว่า ใน 5 อันดับแรกเป็นธนาคารทั้งหมด และใน 10 อันดับแรกเป็นธนาคารมากถึง 7 แห่ง ไม่ว่าจะเป็น ไอซีบีซี เจพีมอร์แกน ธนาคารเกษตรจีน แบงค์ออฟอเมริกา เป็นต้น ตามภาพโลโก้ที่แสดงด้านล่างนี้

ฤา “เฟซบุ๊ค” จะกลายเป็น...บริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลก

นอกจากนั้น ก็มีแอปเปิ้ลติดอันดับ 6 ตามมาด้วย ผิงอันประภันภัย และเชลล์ ในอันดับที่ 7 และ 9 ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า บริษัทที่คิดจะใหญ่โตบนโลกใบนี้จะต้องทำธุรกิจด้านการเงิน จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทั้งแอปเปิ้ล ซัมซุง กูเกิ้ล และอีกหลายๆ บริษัทสนใจเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามาในวงการธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่มหึมาเช่นนี้ และแน่นอนว่านั่นรวมถึง “เฟซบุ๊ค” ด้วย

ปัจจุบัน “เฟซบุ๊คติดอันดับที่ 63 ซึ่งเฟซบุ๊คมีสินทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 0.1 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบไม่ได้เลยกับธนาคารไอซีบีซีของจีนที่อยู่อันดับที่ 1 และมีสินทรัพย์กว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ พูดง่ายๆ ถ้าเฟซบุ๊คจะกลายเป็นเบอร์หนึ่งของโลก สินทรัพย์ของเฟซบุ๊คจะต้องโตขึ้นไปอีกไม่ต่ำกว่า 40 เท่า แล้วชาตินี้...มันจะมีโอกาสเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

เราลองไปดูในรายละเอียดธุรกิจของเฟซบุ๊คกันหน่อย เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า จำนวนผู้ใช้งานจริง (Active Users) ของเฟซบุ๊คต่อเดือน อยู่ที่ 2.38 พันล้านคนต่อเดือน เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวเมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วโลกในปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 2.77 พันล้านคน ก็จะออกมาที่ประมาณ 86% นั่นคือ ทุก 100 คนบนโลกใบนี้ที่เล่นโซเชียลมีเดีย ในจำนวนนั้น จะต้องมีอย่างน้อย 86 คนที่เล่นเฟซบุ๊ค คุณผู้อ่านเห็นถึงอิทธิพลของเฟซบุ๊คต่อโลกใบนี้หรือยังครับ?

ล่าสุด... เฟซบุ๊ค เปิดตัวนวัตกรรมที่อาจชี้ชะตาให้เฟซบุ๊คก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลกนั่นคือ Libra Coin หรือ เหรียญลิบรา ซึ่งเป็นเงินสกุลดิจิทัลที่สร้างโดยเฟซบุ๊ค เรามาดูเงินสกุลดิจิทัลตัวใหม่นี้กันหน่อยว่ามีข้อได้เปรียบอะไรบ้าง?

- ร่วมก่อตั้งด้วยอีก 27 บริษัทระดับโลก เช่น Visa, Mastercard, ebay, Spotify, Paypal, Uber, Lyft, Vodafone, Coinbase และบริษัทชั้นนำระดับโลก รวมทั้งสิ้น 27 บริษัทด้วยกัน และหากไปดูในรายละเอียดเราก็จะเห็นว่าบริษัทที่ทำหน้าที่การโอนเงินยักษ์ใหญ่ของโลกก็ร่วมเป็นพันธมิตรในการใช้เหรียญตัวใหม่นี้ โดยเฟซบุ๊คตั้งเป้าจะให้มีบริษัทร่วมก่อตั้งทั้งหมดถึง 100 บริษัททีเดียว ซึ่งจะช่วยกันสร้างให้เกิดธุรกรรมจำนวนมหาศาลตามมา

- เหรียญลิบราจะเป็นเหรียญ Stablecoin หรือเป็นเหรียญที่มีค่าผันผวนน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลใหญ่ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ เยน หรือสวิสฟรังค์ ซึ่งจะทำให้บรรดาผู้ใช้งานเหรียญตัวนี้เกิดความมั่นใจว่า ค่าของเหรียญตัวนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงผันผวนอย่างรุนแรง ก็จะทำให้เกิดการทำธุรกรรมตามมาได้อย่างมากมาย สาเหตุที่เหรียญลิบรามีราคาไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักเป็นเพราะ บริษัทที่ร่วมก่อตั้งทุกรายจะต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำรายละ 1,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นหลักค้ำประกันให้เหรียญลิบรามีค่าค่อนข้างคงที่

- ความเร็วในการทำธุรกรรมของเหรียญลิบราจะไม่ต่ำกว่า 1,000 ธุรกรรมต่อวินาที เทียบกับบิทคอยน์ที่ 7 ธุรกรรมต่อวินาที อีเธอเรียมที่ 15 ธุรกรรมต่อวินาที ด้วยความเร็วสูงขนาดนี้ก็จะทำให้เหรียญลิบราตัวนี้สามารถใช้งานได้อย่างแท้จริงในวงการธุรกิจ

- การโอนเงินจะเป็นสิ่งที่ง่ายๆ เหมือนส่งข้อความในเฟซบุ๊ค เหรียญลิบราถูกออกแบบมาให้ใช้งานอย่างง่ายที่สุด... ด้วยขั้นตอนที่น้อยที่สุด ดังนั้นจะทำให้ผู้คนทั่วโลกพากันส่งเงินไปหากันผ่านเหรียญลิบราแทน ด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้การส่งเงินผ่านระบบเดิมๆ ที่เสียเวลานานมากและค่าใช้จ่ายที่แพงมากจะค่อยๆ เสื่อมถอยไปเอง และนั่นจะนำไปสู่การก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ๆตามมาอีกจำนวนมหาศาล และสิ่งที่คาดการณ์ได้ก็คือ บรรดาธนาคารต่างๆ ทั่วโลกจะต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดเป็นอย่างมากให้แก่เหรียญตัวนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

- ความเป็นส่วนตัวของเหรียญลิบรา เหรียญตัวนี้จะเป็นเหรียญที่กระจายตัว ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว และนั่นเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเหรียญตัวนี้ เมื่อทุกอย่างปลอดภัยและมีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่มีผู้ใดจะเข้ามาล่วงรู้ธุรกรรมต่างๆได้ ระบบนี้ก็จะดีกว่าธนาคารพาณิชย์ที่มักจะกุมข้อมูลของลูกค้าไว้เอง ดังนั้นเหรียญลิบรานี้ก็น่าจะได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่าบรรดาธนาคารเสียอีก 

และนั่นคือ เหรียญลิบรา...ของเฟซบุ๊ค ที่จะปรากฏโฉมหน้าในปีหน้า คุณผู้อ่านล่ะครับ...เห็นโอกาสในการลงทุนบ้างหรือยังครับ?

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ www.doctorwe.com