กระแสชัง ‘มหาตมะ คานธี’

กระแสชัง ‘มหาตมะ คานธี’

ถึงแม้คนทั่วโลกชื่นชม มหาตมา คานธี บุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกแห่งศตวรรษที่ 20

แต่ก็มีคนบางกลุ่มในอินเดียปัจจุบันที่สร้างกระแสชิงชังมหาบุรุษท่านนี้อย่างสร้างความตะลึงงันให้แก่ชาวโลก

Amy Kazmin รายงานในหนังสือพิมพ์ Financial Times อันทรงอิทธิพลของอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ว่า มีการเปิดตัวกระแสชิงชังที่แอบซ่อนมานานในสังคมอินเดีย โดยนักการเมืองเมื่อมีการหาเสียงในการเลือกตั้งใหญ่ในอินเดียระหว่างเม.ย. - พ.ค.2019 ที่ผ่านมานี้

“มหาตมะ” (จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่) เป็นคำนำหน้าชื่อที่คนอินเดียมอบให้แก่ “Father of the Nation” ด้วยความรักและชื่นชม มหาบุรุษท่านนี้เป็นผู้นำการต่อสู้กับอังกฤษเพื่อความเป็นเอกราชโดยใช้หลัก “อหิงสา” (การไม่เบียดเบียน การเว้นจากการทำร้าย การไม่ใช้ความรุนแรงที่มีต่อทั้งสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดรวมทั้งสัตว์ด้วย) อย่างชนะใจชาวโลกและบีบให้อังกฤษเจ้าอาณานิคมยอมปล่อยให้เป็นเอกราชในที่สุด

ชื่อเดิมของมหาตมะ คานธีคือ โมหันทาสกรัมจันท์คานธี เกิด ค.ศ. 1867 เป็นนักกฎหมายที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน ค.ศ. 1916 เขาตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสานต่อการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้แก่คนอินเดีย ในสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ การผนึกกำลังคนละเล็กคนละน้อยข้ามระยะเวลาอันยาวนานด้วยสัตยาเคราะห์” (การยึดความจริงเป็นหลักการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม โดยใช้วิธีดื้อแพ่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งที่เห็นว่าไม่ยุติธรรมแต่ไม่ใช้วิธีรุนแรง)ซึ่งเป็นพลังที่สั่นสะเทือนอำนาจที่กดขี่ชาวอินเดียอย่างได้ผล

หลังจากต่อสู้มายาวนานถึง 90 ปี อินเดียก็ได้รับเอกราชในวันที่15 ส.ค.1947 แต่เอกราชนี้ได้มาด้วยการที่ อินเดียเดิม” (British India) ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศคือปากีสถานและอินเดีย(ประกาศ 3 มิ.ย.1947) และตามมาด้วย Indian Independence Act 1947 (ประกาศ 14 ส.ค.1947) โดยปากีสถานเป็นประเทศแยกออกไปและข้ามเที่ยงคืนอีกไม่กี่นาทีต่อมาอินเดียก็ได้รับเอกราช

ความขัดแย้งระหว่าง 2 ศาสนาในอินเดียที่มีมายาวนานได้รับ “การแก้ไข” โดยปากีสถานแยกไปเป็นดินแดนของชาวมุสลิม ส่วนฮินดูอยู่ในอินเดีย สิ่งที่เกิดตามมาก็คือ การอพยพวุ่นวายของผู้คนจนมีผู้ไร้บ้าน 14 ล้านคน มีการฆ่าฟันกันตายระหว่าง200,000-2 ล้านคนจนเป็นโศกนาฏกรรมที่แสนเศร้า

มหาตมะ คานธี ต้องการเห็นสังคมอินเดียที่ยอมรับมุสลิมและซิกข์อย่างเท่าเทียม เป็นสังคมที่ยอมรับความหลากหลายของความเชื่อ อย่างไรก็ดี ฮินดูชาตินิยมกลุ่มหนึ่งไม่พอใจความคิดแนวนี้ของผู้นำการต่อสู้เป็นอย่างมาก

คนกลุ่มนี้เกลียดชังมหาบุรุษที่ใช้ “อหิงสา” เพราะเห็นว่าทำให้อ่อนแอในการต่อสู้ โดยเฉพาะกับมุสลิมและซิกข์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย พวกเขาโทษมหาตมะ คานธีที่ทำให้เกิดการแบ่งแยก “อินเดียเดิม"

ความรุนแรงเกิดขึ้นหนักในรัฐปัญจาบ และเบงกอล มหาตมะ คานธี พยายามช่วยระงับข้อขัดแย้งโดยเดินทางไปเยี่ยมสถานที่เกิดความรุนแรงหลายครั้งและในครั้งสุดท้ายเขาก็ถูกสังหารด้วยปืน 3 นัดเข้าหน้าอกในวันที่ 30 ม.ค.1948 เมื่อมีอายุ 78 ปี

ผู้สังหารคือ Nathuram Godse ฮินดูชาตินิยม ซึ่งในที่สุดถูกจับและประหารชีวิตร่วมกับ ผู้สมคบอีกหลายคน กลุ่มที่เกลียดและชิงชังมหาตมะ คานธี มีชื่อว่า RSS (มาจากชื่อผู้นำฝ่ายขวาหัวรุนแรงของฮินดูRashtriya Swayamsevak Sangh)โจมตีด่าทอ มหาตมะ คานธี อย่างเปิดเผยในตอนปลายชีวิตแต่เพิ่งรามือไปเมื่อสมาชิกของกลุ่มได้สังหารเขาแล้ว

ในปัจจุบันถึงแม้คนอินเดียจำนวนมากจะชื่นชมบูชามหาตมะ คานธี แต่เชื้อของกลุ่มRSS ก็ยังไม่หมดไป ภายใต้ผิวน้ำของสังคมอินเดียยังมีความชิงชังไม่พอใจเขาอยู่ไม่น้อย ที่ทำให้เกิดการ “อ่อนข้อ” ให้แก่มุสลิมและซิกข์

หลักฐานว่ากระแสนี้ยังมีอยู่ก็คือ ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา กลุ่มหนึ่งของผู้นำพรรค BJP (Bharatiya Janata Party) ของนายกรัฐมนตรี Modi คนปัจจุบันได้กล่าวสรรเสริญ นายNathuram Godse ฆาตกรสังหารมหาตมะ คานธีเ มื่อ 71 ปีก่อนต่อหน้าฝูงชนว่าเป็น ผู้รักชาติ

พรรคBJP ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากกลุ่มRSS ซึ่งสืบทอดมายาวนานและไม่เขินอายที่จะกล่าวในที่สาธารณะ เชิดชูฆาตกรผู้เป็นบิดาของประเทศ ถ้านักการเมืองกล้าพูดเช่นนี้อย่างเปิดเผยก็แสดงว่า จะต้องถูกใจคนส่วนหนึ่งอย่างแน่นอนดังนั้นกระแสชิงชังมหาตมะ คานธีในสังคมอินเดียนั้นยังดำรงอยู่โดยเฉพาะในกลุ่มฮินดูฝ่ายขวา ประเด็นที่น่าพิจารณาก็คือแนวคิดนี้จะซึมลึกเข้าไปในจิตใจของคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันเหตุการณ์มากน้อยเพียงใด

สำหรับชาวต่างชาติผู้ชื่นชมและเทิดทูนมหาตมะ คานธี มหาบุรษผู้เสียสละเพื่อชาวอินเดียและเป็นต้นแบบของบุรุษอื่นในศตวรรษที่ 20 ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิและความยุติธรรม เช่น Nelson Mandelaและ Martin Luther King JR. การได้ทราบว่า มีคนอินเดียกลุ่มหนึ่งชิงชังวีรบุรุษท่านนี้ อาจรู้สึกตกใจและประหลาดใจ แต่ถ้าหากพิจารณาประวัติศาสตร์แล้วอาจรู้สึกปลงได้

บุคคลหนึ่งสำคัญขึ้นมาในประวัติศาสตร์ ก็เพราะได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ซึ่งย่อมทำให้มีผู้ได้ มีผู้เสีย มีผู้เห็นพ้องหรือขัดแย้งเพราะอุดมการณ์ไม่ตรงกันเป็นธรรมดา ความยิ่งใหญ่ทำให้มีผู้ศึกษาวิจัย เอาแว่นขยายส่องดูทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ภาพที่ปรากฏขึ้นแก่คนรุ่นต่อมา ก็มักมาจากภาพเหล่านี้ที่บ่อยครั้งถูกบิดเบือนเพราะผู้ศึกษาที่ขาดความเป็นกลางหรือมีวัตถุประสงค์แอบแฝง

ไม่มีอะไรที่ทำให้คนในสังคมหนึ่งแตกแยกอย่างฝังรากลึกและต่อเนื่องยาวนานนับพันปีได้เท่าศาสนาและเชื้อชาติ และต่อมาในยุคร้อยๆ ปี หลังคือ อุดมการณ์ทางการเมือง บุคคลในประวัติศาสตร์คือตัวละครในความแตกแยกเหล่านี้ ประวัติศาสตร์ (his story = history)นั้น เขียนโดยมนุษย์ที่มักมีอคติเป็นเจ้าเรือน จึงควรรับฟังด้วยการไตร่ตรองและปลงในความไม่แน่นอน ใครจะไปรู้ ต่อไปถ้าคนอินเดียถูกครอบงำโดยฮินดูฝ่ายขวาทั้งประเทศ ผู้สังหาร มหาตมะ คานธี อาจเป็นวีรบุรุษของอินเดียไปก็ได้

สิ่งที่เป็น ความจริงในประวัติศาสตร์นั้นมีอยู่ แต่ต้องสดับตรับฟังและกลั่นกรองการถูกบิดเบือนและถูกครอบงำด้วยอคติด้วยความระมัดระวังเสมอ