ทรัมป์เร่งนำไปสู่จุดจบ!

ทรัมป์เร่งนำไปสู่จุดจบ!

หลายสัปดาห์ก่อน นายกรัฐมนตรีแนะนำให้คนไทยอ่านหนังสือเรื่อง “สู่จุดจบ!” ซึ่งพิมพ์เมื่อต้นปี 2549

ในฐานะผู้เขียน ผมไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องเป้าหมายและที่ไปที่มาของการแนะนำนัก เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลดูจะอยู่ตรงข้ามกับคำแนะนำสำคัญๆ ในหนังสือ

ณ วันนี้ คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า “สู่จุดจบ!” ถูกห้ามวางขายและอาจดาวน์โหลดมาอ่านได้จากเว็บไซต์วิทยาทานของมูลนิธินักอ่านบ้านนา (www.bannareader.com) แต่สิ่งที่อาจไม่มีผู้ทราบคือ คำตอบของปริศนาที่ว่าอะไรบ้าง จะพบจุดจบแม้ชื่อของหนังสือจะชี้ไปที่ปัญหาของเมืองไทยจากการใช้ภาษาอังกฤษ The Coming Collapse of Thailand เป็นชื่อรองก็ตาม ขอเรียนว่า หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเป็นประธานาธิบดี เมื่อต้นปี 2560 หลายอย่างอาจพบจุดจบเร็วขึ้นรวมทั้งบางอย่างในสังคมไทย

นโยบายของนายทรัมป์มักตรงข้ามกับหลายอย่างจากมุมมองของฝ่ายวิชาการ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งผมพูดถึงเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว หากมองตามสายตาของนักวิชาการและปราชญ์หลายคนรวมทั้งเออร์วิน ลาสซโล ผู้เขียนหนังสือชื่อ The Chaos Point (จุดอลวน) และเจมส์ ลัฟลอกค์ ผู้เขียนเรื่อง The Revenge of GIAI (การแก้แค้นของเทพธิดาปฐพี) พอจะอนุมานได้ว่า นโยบายของนายทรัมป์จะนำความหายนะมาสู่โลกเร็วขึ้น นั่นหมายความว่า บางส่วนของกรุงเทพฯ จะจมบาดาลเร็วขึ้นตามชื่อของบทความในคอลัมน์นี้เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

“สู่จุดจบ!” ชี้ให้เห็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้อารยธรรมโบราณล่มสลาย นั่นคือ การทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมในย่านตะวันออกกลางรวมทั้งแอสซิเรียนและบาบิโลน หรืออารยธรรมมายาในอเมริกากลาง สำหรับผู้สนใจในรายละเอียด ขอแนะนำหนังสือ 2 เล่มคือ Collapse ซึ่งมีฉบับแปลชื่อ “ล่มสลาย” และ One with Nineveh หากขาดเวลาอาจอ่านบทคัดย่อภาษาไทยในเว็บไซต์ที่อ้างถึงซึ่งมีบทคัดย่อหนังสือฝรั่งอีกกว่า 100 เล่ม

การทำลายสิ่งแวดล้อมในอดีต ส่วนใหญ่เป็นการทำลายป่าเนื่องจากป่าเป็นที่มาของฟืน อันเป็นแหล่งพลังงานอันดับต้น นอกจากนั้น ป่ายังถูกทำลายเพื่อนำพื้นดินมาใช้ปลูกพืชอาหารสำหรับประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าเมืองไทยยังทำลายป่าต่อไปทั้งที่มีตัวอย่างชั้นดีให้เห็น เช่น เฮติ ซึ่งเป็นสังคมล่มสลายเพราะทำลายป่า ส่วนญี่ปุ่นรักษาป่าไว้ได้ทำให้กว่า 70% ของพื้นที่ยังเป็นป่า นอกจากนั้น เราชาวไทยยังทำลายเนื้อดิน แหล่งน้ำและอากาศต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งอีกด้วย

“สู่จุดจบ!” อ้างถึงสังคมที่ล้มหายไปจากโลกเพราะยืมจมูกคนอื่นหายใจโดยเฉพาะการค้าขายกับต่างประเทศ เช่น สังคมบนเกาะเฮนเดอร์สันและเกาะพิตคาร์นในมหาสมุทรแปซิฟิก นโยบายของรัฐบาลไทยยังเน้นการพึ่งจมูกคนอื่นหายใจรวมทั้งการค้าขายและการท่องเที่ยว เงินทุนและเทคโนโลยีทั้งที่นายกฯ อ้างเสมอว่าได้น้อมนำศาสตร์พระราชามาใช้ ผู้ที่รู้เรื่องศาสตร์พระราชาย่อมตระหนักดีว่า ภูมิคุ้มกันเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้สังคมพัฒนาได้อย่างยั่งยืน แต่รัฐบาลกลับทำตรงข้ามและนายทรัมป์กำลังทำให้เมืองไทยพบจุดจบเร็วขึ้นจากการทำสงครามการค้ากับหลายประเทศโดยเฉพาะกับจีน

เราอาจมองว่าสงครามการค้ามาจากการคิดแบบขี้แพ้ชวนตี เรื่องนี้ตรงข้ามกับแนวคิดที่มหาอำนาจพร่ำบอกประเทศอื่นมานาน นั่นคือ เปิดการค้าเสรีตามแนวคิดที่เรียกกันว่า “ฉันทามติแห่งกรุงวอชิงตัน” ตราบใดที่มหาอำนาจสามารถขายสินค้าและบริการเชิงเอาเปรียบได้ เขายังสนับสนุนแนวคิดต่อไป แต่เมื่อไรเขาเริ่มเสียเปรียบ เมื่อนั้นเขางอแง ตอนนี้จีนมีความสามารถในการแข่งขันล้ำหน้าสหรัฐหลายอย่างรวมทั้งด้านการผลิตสินค้าราคาต่ำที่ชาวอเมริกันต้องการและด้านเทคโนโลยี นายทรัมป์จึงเพิ่มภาษีศุลการกรหลายอย่างเพื่อกีดกันสินค้านำเข้าและพยายามกลั่นแกล้งบริษัทหัวเหว่ยโดยตรง

สำหรับผู้ที่มองเห็นแง่ร้ายของสหรัฐและหวังพึ่งจีนเพราะคิดว่าจีนจะเป็นที่พึงได้ ขอเรียนว่าอย่าทำเด็ดขาดเพราะจะตกที่นั่งหนีเสือปะจระเข้ จีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจรุ่นใหม่และต่อไปจะมีพฤติกรรมไม่ต่างกับสหรัฐในปัจจุบัน ฉะนั้น ไทยจะต้องยึดมั่นในการพัฒนาตามศาสตร์พระราชาถ้าไม่ต้องการให้มหาอำนาจเร่งพาไปสู่จุดจบ!