บทเรียนในความมืด

บทเรียนในความมืด

“5 บทเรียนในความมืด” ที่ดิฉันได้เรียนรู้ในฐานะผู้นำองค์กรในยุคนี้

ตลอดเวลา 15 ปี บริษัท สลิงชอท กรุ๊ป จะมีกิจกรรมที่ดี ๆ ที่เรียกว่า “สุขอาสา” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันศุกร์ ทุก ๆ สองเดือน พวกเราจะออกไปเป็นจิตอาสาทำกิจกรรมเพื่อสังคม เพราะเราเชื่อในเรื่องความสุขที่ได้รับจากการเป็นผู้ให้

วันศุกร์ที่ผ่านมา ทีมงานชวนพวกเราไปทดลองใช้ชีวิตเป็นคนตาบอด ณ จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อ.พ.ว.ช. ชั้น 4 จามจุรีสแควร์ ตามจริงดิฉันได้ยินชื่อเสียงนิทรรศการดี ๆ แห่งนี้มานานกว่า 8 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้มาสักที ทั้ง ๆ ที่อยู่ใจกลางกรุงเทพมหานครแท้ ๆ พวกเราใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ทดลองใช้ชีวิตเป็นคนตาบอด ขึ้นรถเมล์ ไปตลาด นั่งตุ๊กตุ๊ก ซื้อของ กินอาหาร ข้ามสะพาน ดูคอนเสิร์ต

“5 บทเรียนในความมืด” ที่ดิฉันได้เรียนรู้ในฐานะผู้นำองค์กรในยุคนี้คือ

1. ผู้นำองค์กรในวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่เคยเป็นมาก่อนในวันนี้ ทำให้เรามองภาพข้างหน้าไม่ชัด เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้เรื่องอะไร เราไม่เห็นว่าเราไม่เห็นอะไร ต้องอาศัยการจินตนาการ คาดเดาว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นอย่างไร และใช้ความกล้าก้าวผ่านมัน

2. ผู้นำไม่ได้เก่งที่สุด ปล่อยให้คนอื่นขึ้นมานำบ้างก็ได้ ตลอดชั่วโมงครึ่งเราจะมีไกด์นำทาง เขาจะคอยบอกทางให้พวกเราตลอดว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว ให้เลี้ยวซ้าย ก้มลง และเราก็ยินดีทำตามเขาทุกอย่างด้วยความอุ่นใจว่าเขาจะพาเราไปได้อย่างปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่ไกด์ก็มองไม่เห็นทางเหมือนกัน สุดท้ายเรามารู้ว่าไกด์ที่พาพวกเราเดินทางทั้งหมดเป็นคนตาบอด ลองย้อนนึกดูในสังคมจริง เราต่างหากที่ต้องเป็นคนนำ เป็นคนช่วยเหลือพวกเขาให้ปลอดภัย แต่ในวันนี้ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปพวกเขากลับลุกขึ้นมาเป็นคนนำ และสามารถเป็นผู้นำที่ดีโดยใช้ประสบการณ์ของผู้ตาม มาเป็นผู้นำ

3. การสัมผัสตัว ช่วยสร้างพลังได้อย่างมหัศจรรย์ ช่วงเวลาที่เรามองไม่เห็น รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัย สิ่งหนึ่งที่ไกด์จะทำเสมอคือ เดินมาสัมผัสตัวเราเบา ๆ ให้รู้ว่าเรายังเดินอยู่ตำแหน่งที่ถูกต้อง เมื่อได้รับสัมผัส ความกลัวก็หายไป กลายเป็นความอุ่นใจว่าเรากำลังมาถูกทางแล้ว ในสังคมการทำงาน เรามักมองการถูกเนื้อต้องตัวเป็นเรื่องไม่ดี แต่ในบางครั้งการสัมผัสด้วยความจริงใจ มีพลังช่วยให้ไปต่อในวันที่ท้อแท้หมดหวังได้เป็นอย่างดี

4. ความสุขเกิดขึ้นเมื่อจุดแข็งมาเจอกับ Passion สิ่งที่เราสัมผัสได้ชัดเจนคือทีมงานที่นี่มีความสุข ความพิการไม่ได้บอกว่าพวกเขาสุขน้อยกว่าคนปกติ ไกด์ของดิฉันชื่อพี่ปลั๊กไฟ อดีตสจ๊วตสายการบินหนึ่ง แต่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยจนตาบอด เมื่อ 8 ปีที่แล้ว วันนี้พวกเราสัมผัสได้ว่าพี่ปลั๊กไฟใช้

ความสุขทำงาน แม้จะตาบอดแต่เขากลับมองว่าสิ่งที่กำลังทำได้ใช้จุดแข็งไม่ต่างอะไรกับสมัยเป็นสจ๊วต และเขามี Passion กับการช่วยนำทาง ช่วยดูแล พาคนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง วันนี้หากเราหา Passion ให้เจอและใช้จุดแข็งที่มีทำในสิ่งที่รัก ความสุขในการทำงานจะเกิดขึ้นแม้จะรู้ว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอุปสรรค

5. ให้โอกาสจุดอ่อนได้ทำงานบ้าง เพื่อความสมดุลในชีวิต เราพบว่าในขณะที่ตามองไม่ได้ ประสาทสัมผัสตัวอื่นออกมาแสดงศักยภาพได้อย่างมหัศจรรย์ เช่น กลิ่น เสียง สัมผัส ในช่วงที่พวกเราต้องใช้ชีวิตคนตาบอดนั่งฟังเพลงในคอนเสิร์ต เราต่างรู้สึกว่าทำไมเพลง ๆ นี้มันช่างไพเราะเหลือเกิน และดื่มด่ำกับเสียงกีตาร์ เสียงกลอง เสียงเปียโน เรามั่นใจว่าหากเราเปิดตาฟังเพลง ๆ นี้มันจะไม่ไพเราะขนาดนี้ 

หรือแม้แต่ระหว่างเดิน เรารู้ทันทีว่าเราเดินย้อนกลับมาถึงที่เดิมแล้ว เพราะเราได้กลิ่น ๆ เดิมที่เคยเดินผ่านมาเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ในชีวิตจริงเรามักใช้เพียงสิ่งที่ถนัดทำงาน และหลงลืมสิ่งอื่น ๆ ที่เราไม่ถนัด หากเรามี 5 นิ้วและถนัดที่จะใช้นิ้วโป้ง เรามักหลงลืมศักยภาพของอีก 4 นิ้ว เมื่อเราใช้มันให้ครบจะพบว่าทุกนิ้วมีจุดแข็งของมันเองที่จะช่วยทำงานได้อย่างสมดุล

บทสรุปจากบทเรียนในความมืดวันนี้ ดิฉันได้เรียนรู้ว่า ความพิการไม่ได้ทำให้ใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกว่าใคร หากเราสามารถดึงจุดแข็งด้านอื่นให้ขึ้นมาทำงานแทนจุดที่เราไม่มี ความสำเร็จก็ไม่แตกต่างกัน