รายได้กับภาษีที่จะต้องเสีย

รายได้กับภาษีที่จะต้องเสีย

ผลการเลือกตั้งก็ออกมาแล้ว คงไม่มีอะไรต้องลุ้นอีก เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองจะต่อรองในทางการเมืองกันเองที่ชาวบ้านอย่างเราๆ คงไม่มีส่วนอะไร

แต่อยากเล่าอะไรที่เป็นบ้านๆ เบาๆ ให้ฟัง

เคยคุยกับแม่ค้าส้มตำไก่ย่างที่หมู่บ้านเดิม ก่อนย้ายออกมาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เธอเป็นสาวจากเชียงราย ทำมาหากินคนเดียว ส้มตำเธอเป็นที่ถูกใจของคนในหมู่บ้านที่มีบ้านประมาณ 450 บ้าน มีคนอยู่นับพันคนที่หมู่บ้านนี้ ผมเคยเป็นรองประธานคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงรู้จักคนในหมู่บ้านเกือบทั้งหมดที่อยู่ ทั้งแบบบ้านเดี่ยวใหญ่โตมีรั้วสูง กับบ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์จำนวนมาก

ที่บ้านเรา สมาชิกในบ้านชอบกินส้มตำไก่ย่างของเธอ และเธอก็ขายไม่แพง เธอมีความเป็นกันเองกับลูกค้า แม้กระทั่งเด็กๆ ที่บ้านก็ชอบกินไก่ย่างส้มตำของเธอ เธอเป็นคนมีน้ำใจและเป็นที่รู้จักของครอบครัวเราอย่างดี คุยกันบ่อยๆ ถึงขนาดเด็กๆ ที่บ้านไม่มีเงิน แต่อยากกินไก่ย่างส้มตำของเธอ เธอก็ทำให้ แล้วค่อยมาเก็บเงินภายหลัง เธอขายรถเข็นไก่ย่างส้มตำกว่า 10 ปี ในที่สุดเธอแต่งงานกับหนุ่มอีสาน และมีลูกชายด้วยกัน 1 คน ทุกคนช่วยกันทำมาหากินขายไก่ย่างส้มตำไม่มีวันหยุด ขายเฉพาะในหมู่บ้านเท่านั้น

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอบอกว่าจะหยุดขายและจะไปใช้ชีวิตที่เชียงรายบ้านเกิด ถึงตอนนี้ลูกชายเธออายุหลายขวบแล้ว เริ่มเข้าเรียนชั้นประถม เธอออกรถกระบะ 1 คัน จากที่ไม่เคยมีรถอะไรมาก่อน ถามเธอว่าจะไปทำอะไรที่เชียงราย เธอบอกว่าได้เก็บเงินจำนวนหนึ่งซื้อที่ดินประมาณ 25 ไร่ จึงจะยุติการขายไก่ย่างและไปบุกเบิกที่ดินของเธอ

คำถามสุดท้ายที่ถามคือ เธอมีรายได้จากการขายไก่ย่างส้มตำประมาณวันละเท่าไร จึงมีเงินเก็บพอที่ออกรถกระบะกับซื้อที่ดิน 25 ไร่ ทั้งๆ ที่มีลูกต้องเรียนหนังสือ ที่ถามก็เพราะ ที่บ้านผมมักซื้อไก่ย่างประมาณ 5-6 ไม้ ส้มตำสองครกแบบเผ็ดและไม่เผ็ด และข้าวเหนียวอีก 2-3 ห่อเสมอ และทั้งหมดก็จะราคาประมาณ 200-250 บาท เมื่อดูจากจำนวนลูกค้าที่ซื้อส้มตำไก่ย่างรวมทั้งข้าวเหนียว ปลาดุกย่างจากเธอทุกวัน น่าจะเฉลี่ยวันละ 50-100 ราย เพราะเธอขายตั้งแต่ตอนสายๆ ถึงช่วงเย็น ของหมดทุกวัน นั่นคือเธอจะมีรายได้วันละหลายพันบาทหรือเกือบหมื่นบาท ก่อนหักค่าใช้จ่าย

ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอบอกว่าหลังหักค่าใช้จ่ายเธอจะมีเงินเหลือประมาณ 1,500 - 2,000 บาท สรุปก็คือเธอจะมีรายได้เป็นกำไรประมาณเดือนละ 45,000-60,000 บาททีเดียว

พวกเราดีใจที่รู้จักเธอ เธอเป็นคนดี มีน้ำใจ ไม่เคยได้ยินใครในหมู่บ้านรังเกียจ ทั้งๆ ที่เธอมาอาศัยสถานที่หน้าหมู่บ้านทำมาหากินนับ 20 ปี ตั้งแต่เริ่มตั้งหมู่บ้าน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า รายได้ขนาดนี้ เธอไม่ต้องจ่ายภาษีอะไรเลย ขายของเก็บเงินสดทั้งหมด ไม่มีการติดค้างจ่ายดอกเบี้ย ไม่ต้องเปิดวงเงินกับธนาคาร เบิกเงินเกินบัญชีให้เสียดอกเบี้ย และที่สำคัญ เธอจ่ายตลาดเองตั้งแต่ตี 4  โดยนั่งรถเมล์ฟรีไม่เสียค่าโดยสารไปซื้อของทุกวัน

คำถามคือ รายได้ระดับนี้เท่าๆ กับคนจบปริญญาตรี 3 คน มีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท ในขณะที่คนจบปริญญาตรีทำงานเป็นพนักงานองค์กร เสียภาษีเต็มที่หัก ณ ที่จ่าย แล้วยังต้องสมทบประกันสังคม จนสิ้นเดือนเกือบไม่พอกิน เดือนชนเดือน เมื่อเปรียบเทียบกับเธอแล้ว เธอมีรายได้มากกว่าถึง 3-4 เท่า

เราคงไม่เปรียบเทียบลักษณะของงานที่ต่างกัน เธอเป็นผู้ใช้แรงงานทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง เธอมีความเสี่ยง ทุกวันถ้าเธอไม่สบายจะไม่มีรายได้เลย ใครจะดูแลเธอเพราะเธอไม่มีประกันสังคม ไม่มีหลักประกัน เปรียบเทียบกับพนักงานองค์กรจบปริญญาตรี มีสวัสดิการครบรวมประกันสังคม แล้วก็นั่งทำงานในห้องแอร์ ไม่ต้องทนแดดร้อน ตื่นตี 3 นั่งรถเมล์ตี 4 ไปจ่ายตลาดทุกวัน แต่งตัวสวย ใช้มือถือทันสมัย

รัฐบาลใหม่ ถ้ามีฐานต่อเนื่องจากรัฐบาลปัจจุบัน เรื่องสวัสดิการของรัฐน่าจะครอบคลุมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประชาชนในระดับไหนรัฐก็ต้องดูแล

แต่เรื่องของเงินได้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเมื่อได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเงินได้ ก็ต้องเสียภาษีเงินได้ เหมือนกันทุกคน ฝากรัฐบาลใหม่ให้ช่วยคิดต่อ

จะทำอย่างไร ให้สังคมมีความเป็นธรรมมากกว่านี้