บทเรียนเมื่อฟองสบู่หุ้นแตก

บทเรียนเมื่อฟองสบู่หุ้นแตก

หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาศ 1 ปี 2562 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 

หุ้นขนาดเล็ก-กลางหลายตัวที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้น “ยอดนิยม” ได้ตกลงมาแรงทั้ง ๆ  ที่บางตัวได้ตกลงมามากแล้วในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้  อาการที่หุ้นตกลงมาหนักมากอย่างรวดเร็วและมักจะเกิน 50% ของจุดสูงสุดนั้น  ในแวดวงของนักลงทุนเราเรียกว่า  “ฟองสบู่หุ้นแตก” ซึ่งก็มักจะสร้างความเสียหายให้กับคนที่ถือหุ้นตัวนั้นมาก  บางครั้งกลายเป็นหายนะซึ่งเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของเขาไปอย่างไม่คาดคิด  ลองมาดูว่ามีบทเรียนอะไรบ้างที่เราควรจดจำและนำมันมาใช้ในการลงทุนต่อไปในอนาคต

ข้อแรกในความเห็นของผมก็คือ  หุ้นที่มีราคาแพงมากหรือพูดหยาบ ๆ  ก็คือหุ้นที่อยู่ใน “ภาวะปกติ”  ไม่ใช่หุ้น Turnaround ที่เคยมีปัญหาและกำลังพื้นตัวหรือหุ้นในสถานการณ์พิเศษอื่น ๆ  ที่มีค่า PE สูงลิ่วเกินกว่า 50 เท่าขึ้นไปนั้น   เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงมากและมีโอกาสเป็นหุ้นที่ “ฟองสบู่แตก” ราคาตกลงมาเกิน 50% ได้ง่าย ๆ  ว่าที่จริงช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น  หุ้นที่มีลักษณะดังกล่าวต่างก็ตกลงมาหนักแทบทุกตัวยกเว้นก็แต่หุ้นขนาดเล็กและ/หรือมี Free Float ต่ำที่ยังอยู่ใน “Corner” หรือหุ้นที่ถูก “ต้อนเข้าไปอยู่ในมุม” ที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยังสามารถควบคุมราคาหุ้นได้เท่านั้นที่ยังรักษาระดับราคาอยู่ได้บ้าง

ความเชื่อที่ว่ารายได้และกำไรของบริษัทจะโตเร็วมากจนทำให้ค่า PE ลดลงและทำให้หุ้นนั้นมีราคาไม่แพงดูเหมือนว่าจะไม่จริงโดยเฉพาะสำหรับหุ้นที่ขายสินค้าดั้งเดิมไม่ได้เป็นสินค้าดิจิตอลยุคใหม่ที่อาจจะโตได้แบบก้าวกระโดด  ผมเองคิดว่าหุ้นที่  “ดีที่สุด” ในตลาดหุ้นไทยนั้นไม่ควรมีค่า PE จากผลการดำเนินงานปกติเกิน 30-40 เท่า  ถ้าหุ้นตัวไหนแพงเกินกว่านั้นก็จะต้องมีเหตุผลพิเศษจริง ๆ  เหตุผลของผมก็คือ  การเติบโตของบริษัทที่อ้างว่าจะสูงลิ่วและต่อเนื่องไปอีกนานนั้น  มักจะเป็น  “ราคาคุย”  เป็นสตอรี่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแรงจูงใจเกี่ยวกับ  “ราคาหุ้น”  ดังนั้น  บ่อยครั้งจึงไม่ใช่เรื่องจริง  และนี่นำมาสู่บทเรียนข้อสอง  นั่นคือ

อย่าเชื่อคำพูดของคนที่มีแรงจูงใจที่จะให้หุ้นมีราคาเพิ่มขึ้นมาก ๆ  เช่น  เจ้าของบริษัท  ผู้ถือหุ้นรายใหญ่  “เซียน VI” หรือแม้แต่นักวิเคราะห์หุ้นว่าหุ้นจะเติบโตด้วยเหตุผลที่ดู  “น่าเชื่อถือ” โดยเฉพาะถ้าสิ่งนั้นแตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตอันยาวนานมากและมันดีขึ้นอย่าง  “ไม่น่าเชื่อ”  หรือ  “Too good to be true”  ตัวอย่างเช่น  ก่อนหน้านั้นหลายปีการเติบโตของบริษัทอาจจะแค่ 5-10% ต่อปีและกำไรต่อยอดขายแค่ 7-8%  แต่ตัวเลขใหม่ที่คาดกลายเป็นโตปีละ 20-30%  และกำไรต่อยอดขายก็เพิ่มขึ้นเป็น 10-15%  เป็นต้น

บทเรียนข้อสามก็คือ  กิจการที่ดีเยี่ยมนั้น  ส่วนมากและโดยเฉพาะถ้าเป็นสินค้าที่ขายให้กับผู้บริโภคนั้น  ควรที่จะต้อง  “สัมผัสได้”  วิธีที่จะค้นหาว่าสินค้าดีจริงและเป็นที่นิยมสูงก็คือการไปถามคนทั่ว ๆ  ไปที่ไม่ได้เล่นหุ้นและไม่เคยคุยกับผู้บริหารของบริษัท  หรือไม่ก็เดินไปดูที่ร้านหรือจุดจำหน่ายสินค้าหรือไปถามคนที่เกี่ยวข้องว่าธุรกิจเป็นอย่างไร  ขายดีไหม  ใครเป็น  “เบอร์หนึ่ง” เป็นต้น  นี่คือสิ่งที่ฟิลิป ฟิสเชอร์ เรียกว่า “Scuttlebutt”  ซึ่งจะช่วยให้รู้ได้ว่าอะไรคือความจริงและอะไรอาจจะเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อให้เรารู้สึกว่ามันดี 

กิจการที่ “ดี” นั้น  ผมคิดว่าต้องแยกออกจากกิจการที่ “โต”  กิจการที่ดีนั้นสำหรับผมแล้ว  มันคือเรื่องของสินค้าที่คนใช้นิยมเนื่องจากมันให้คุณค่าแก่เขามากกว่าราคาที่ต้องจ่ายและเป็นสินค้าที่เขาเลือกใช้เมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น  ดังนั้น  เขาก็มักจะกลับมาใช้ซ้ำโดยที่สินค้าคู่แข่งไม่สามารถมาแย่งชิงลูกค้าไปได้ง่าย 

ส่วนเรื่องของการโตนั้น  แน่นอนว่ามันอาจจะมาจากการที่สินค้ามีความสามารถในการแข่งขันที่ดีเพราะมันเป็นสินค้าที่ดี  มาจากกิจการที่ดี  ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้  คือทั้งดีและโต  นี่ก็คือหุ้นที่อาจจะกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกได้  แต่สินค้าหรือกิจการบางแห่งอาจจะโตได้โดยที่ไม่ได้เป็นสินค้าที่ดี  อาจจะเป็นเพราะผู้บริหารตัดสินใจขยายหรือทำผลิตภัณฑ์ใหม่  มีการขยายไปยังตลาดใหม่ที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น  เป็นต้น  แต่ถ้าสินค้านั้น “ไม่ดี” ในที่สุดการโตก็ไม่ยั่งยืนและยอดขายก็อาจจะลดลงในภายหลัง  ดังนั้น  ถ้าจะมองหาหุ้นที่ปลอดภัยและมีโอกาสเกิดฟองสบู่แตกน้อย  คุณภาพจะต้องเป็นจุดเริ่มต้น  การเติบโตนั้นจะใช้ได้ก็ต้องเป็นการเติบโตที่มาจากคุณภาพที่ดีเท่านั้น

บทเรียนข้อสี่ก็คือ  ความร่ำรวยจากตลาดหุ้นหรือที่จริงก็คือหุ้นที่ถืออยู่นั้น  ตราบใดที่ยังไม่ขาย  บางครั้งก็เป็น  “ภาพลวงตา”  ในยามที่หุ้นขึ้นเป็น “ฟองสบู่”  เราอาจจะรู้สึกว่ารวยโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเพื่อนที่เคยคบค้ากันมาหรือคนที่มีสถานะความมั่งคั่งใกล้เคียงกันมาก่อน  ตอนนี้เรา “รวยเหนือโลก”  เรารู้สึกถึงความสามารถที่ “เหนือชั้น” ของตนเอง  ผลตอบแทนปีละ 20-30% ต่อปีแบบทบต้นระยะยาวดูเหมือนว่าจะเป็น  “Norm” หรือเป็นมาตรฐานปกติของเรา  การขาดทุนหุ้นในแต่ละปีนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก

ดังนั้น  เซียนหุ้นรวมถึง VI จำนวนไม่น้อยก็กู้เงินหรือใช้มาร์จินเล่นหุ้นด้วย  เขาคิดว่าดอกเบี้ยมาร์จินแค่ 5-6% ต่อปี  ยังไงเขาก็ได้กำไรเพิ่มจากการกู้เงินมาเล่น  ในอดีตนั้นดูเหมือนว่านี่ทำให้รวยเร็วขึ้นและความเสี่ยงต่ำมาก  แทบไม่มีปีไหนที่ขาดทุน  แต่แล้วฟองสบู่ที่แตกก็ทำให้ความมั่งคั่งลดลงอย่างรวดเร็ว  และเมื่อผสมกับการขาดทุนจากหุ้นที่ใช้มาร์จินก็ทำให้การขาดทุนนั้นถูก  “ทวีคูณ”ความมั่งคั่งที่เคยขึ้นไปสูง “เหนือโลก”  หดหายไปอย่างน่าตกใจ  ผมเองไม่แน่ใจว่าคนที่ใช้มาร์จินมาตลอดนั้น  คุ้มไหม?  หลังจากฟองสบู่แตกเพียงครั้งเดียว

แต่บทเรียนที่ฟองสบู่แตกนั้น  น่าจะทำให้นักลงทุนรวมถึง VI พันธุ์แท้และไม่ได้ใช้มาร์จินเล่นหุ้นตระหนักว่า  เราอาจจะยังไม่ได้รวยอย่างที่ตัวเลขพอร์ตของเราแสดงให้เห็นจริง ๆ   การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นนั้น  บางครั้งมันแรงมากจนอาจทำให้ความมั่งคั่งหายไป 50% ไม่ยากโดยเฉพาะถ้าหุ้นที่เราถืออยู่นั้นมีค่า PE สูงลิ่ว  หรือแม้แต่หุ้นที่ไม่ได้แพงมากแต่คุณสมบัติไม่เข้มแข็งพอก็อาจจะตกลงมาแรงมากได้หากมีการเปลี่ยนในพื้นฐานของกิจการหรือการตกต่ำของอุตสาหกรรม  ตัวอย่างเช่นอสังหาริมทรัพย์ที่หุ้นหลายตัวมีราคาตกลงมาอย่างแรงทั้ง ๆ  ที่บริษัทยังทำกำไรได้ดี  เป็นต้น 

ผมเองเวลาสมาชิกในครอบครัวถามว่าเรามีพอร์ตเท่าไรแล้ว   ผมก็จะเตือนให้ตระหนักถึงความอ่อนไหวของความมั่งคั่งนี้และมักจะบอกว่ามันอาจจะเหลือครึ่งหนึ่งได้ง่าย ๆ   และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน  ผมก็มักจะยกตัวอย่างของมหาเศรษฐีของเมืองไทยบางคนวัดจากมูลค่าหุ้นที่ตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีธรรมดาไปแล้ว  เช่นเดียวกับ  “ไฮโซ” ที่มีคู่รักเป็นดาราหลาย ๆ  คนที่ “เคยรวย” มากจากมูลค่าหุ้น  ตอนนี้ก็ไม่ค่อยรวยแล้วเพราะหุ้นตกลงมามาก  เป็นต้น

บทเรียนสุดท้ายของผมก็คือ  นักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไรที่อยากรวยเร็ว  ไม่ว่าจะใช้แนวไหนรวมถึงแนว VI นั้น  “ไม่ค่อยจะจดจำบทเรียน”  ช่วงที่หุ้นตกหนักเป็นฟองสบู่แตก  พวกเขาก็กลัวกันมากและอาจจะสาบานว่าจะไม่เล่นหุ้นแบบนี้อีกแล้ว  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  พวกเขาก็กลับมาเล่นหรือทำเหมือนเดิม  บางทีก็อ้างว่าหุ้นตัวนั้นตกลงมามากแล้วทั้ง ๆ  ที่ค่า PE ก็ยังสูงอยู่  แล้วก็อาจจะ “เจ็บ”  ซ้ำอีกเพราะราคาหุ้นก็แตกรอบสองหรือรอบสาม  บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้มันอยู่ในยีนของมนุษย์ที่มักจะมีอิทธิพลเหนือความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลของเราก็ได้