สรุปเนื้อหาการประชุมเบิร์คเชียร์ 2019

สรุปเนื้อหาการประชุมเบิร์คเชียร์ 2019

ตลาดทุกวันนี้แปลกไปมาก ไม่มีตำราเล่มไหนอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ได้

ผ่านพ้นกันไปแล้วสำหรับการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของ บริษัท เบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ เมื่อวันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม 2019 โดย 'สองปู่' วอร์เรน บัฟเฟตต์ กับ ชาร์ลี มังเกอร์ ประธานและรองประธานบริษัทได้เข้ามานั่งดำเนินรายการต่อหน้าผู้ถือหุ้นหลายหมื่นคน และเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นยิงคำถามใส่เหมือนเช่นเคย

ผมจึงขอสรุปเนื้อหาบางส่วนที่น่าสนใจมาเล่าไว้เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

บัฟเฟตต์เริ่มหันมาสนใจ 'หุ้นพลังงาน' โดยเบิร์คเชียร์ถือหุ้นบริษัทน้ำมัน Occedental Petroleum มาระยะหนึ่งแล้ว และล่าสุดได้ให้เงินทุนแก่บริษัทนี้ 10,000 ล้านเหรียญ เพื่อประมูลซื้อบริษัท Anadarko Petroleum เนื่องจากปู่อยากได้แอ่งน้ำมันขนาดยักษ์ชื่อ Permain Basin ซึ่ง Anadarko เป็นเจ้าของ มีขนาดกว้าง-ยาวถึง 250-300 ไมล์ และเป็นแหล่งน้ำมันสำคัญของประเทศ

บัฟเฟตต์เคยดู Uber เมื่อ 18 เดือนก่อน แต่แล้วก็ตัดสินใจไม่ลงทุน โดยปัจจุบัน Uber กำลังทำ IPO ด้วยมูลค่าตลาดที่อาจสูงสุดถึง 83,800 ล้านเหรียญ

ปู่บอกว่า ตลาดทุกวันนี้แปลกไปมาก ไม่มีตำราเล่มไหนอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ได้ กล่าวคือ อัตราการว่างงาน 3.6% ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1969 แต่ดอกเบี้ยยังคงต่ำ ขณะที่เงินเฟ้อสูงขึ้นมาเพียง 1.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขามองว่าสภาวะเช่นนี้จะอยู่ต่อไปไม่นานนัก

ล่าสุด เบิร์คเชียร์มีหุ้น Apple ซึ่งเข้าซื้อครั้งแรกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2017 มูลค่ารวมกันกว่า 40,000 ล้านเหรียญ โดยปู่บอกว่าในปีล่าสุด เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือ (คือไม่ได้ซื้อหรือขาย)

ปู่แฮปปี้กับผลประกอบการของ Apple ในไตรมาสที่ 1 ซึ่งออกมาน่าพอใจ ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้น 32%

ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ปู่บอกว่า เบิร์คเชียร์กำลังซื้อหุ้น Amazon ซึ่งเป็นหุ้นที่เขาเสียดายที่สุดที่ไม่ได้ซื้อเมื่อนานมาแล้ว ด้วยเหตุผลคือ 'ความโง่'
ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของเบิร์คเชียร์ปีล่าสุด บัฟเฟตต์บอกว่า ปี 2018 เป็นปีที่ท้าทายอย่างยิ่ง อันเนื่องมาจากปัญหาสารพัด โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

แม้ว่าปี 2018 ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 จะทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างแย่ โดยติดลบไป 4.4% แต่เบิร์คเชียร์กลับชนะตลาด โดยบวกไป 0.4%
ล่าสุด เบิร์คเชียร์มีเงินสดอยู่ในมือมากมายมหาศาลถึง 112,000 ล้านเหรียญ หรือ 3.5 ล้านล้านบาท

ปัญหาของบริษัทที่มีเงินสดเยอะ คือจะบริหารมันอย่างไรดี โดยปู่เขียนไว้ว่า ปัจจุบันการซื้อบริษัทใหญ่ๆ เป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไรนัก เนื่องจากราคาขายค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับความคุ้มค่าในระยะยาว

บัฟเฟตต์บอกว่า เขาพยายามนำเงินสดที่มีอยู่มาลงทุนให้มากขึ้น และยังคงมองหาบริษัทที่น่าสนใจเพื่อเข้าซื้อ แม้ตัวเขาจะไม่แนะนำให้คนอื่นซื้อตาม เพราะไม่รู้ว่าตลาดในอนาคตจะเป็นเช่นไร

และทั้งหมดนี้คือเนื้อหาบางส่วนจากการประชุมที่ได้รับการขนานนามว่า 'วูดสต็อคแห่งโลกของการลงทุน' หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ