Avengers: Endgame  เปิดฤกษ์ดีให้ Disney+

Avengers: Endgame  เปิดฤกษ์ดีให้ Disney+

Avengers: Endgame สร้างสถิติใหม่ของภาพยนตร์ที่ทำรายได้ในการเข้าฉายสูงที่สุดในโลก

โดยในเพียงสุดสัปดาห์แรกที่ออกฉายได้กวาดเงินไปกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก และเชื่อว่าจะสามารถลบสถิติของ Avengers: Infinity War ที่เคยกวาดรายได้กว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 ได้ไม่ยาก ความสำเร็จของ Avengers: Endgame นับเป็นผลงานสุดยิ่งใหญ่จากสตูดิโอ Marvel Cinematic Universe (MCU) ที่สร้างจากเรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่ถึง 22 ตอน ที่ต่างเป็นตัวละครที่ชวนติดตามไม่ว่าจะเป็น Iron Man, Captain America, Thor, Hulk, Black Widow และล่าสุด Captain Marvel จนสร้างแฟนคลับล้นหลามทั่วโลก

นอกจากการสร้างสถิติใหม่ของรายได้แล้ว Avengers: Endgame ยังช่วยลดความกังขาและตอกย้ำโอกาสแห่งความสำเร็จให้กับแพลตฟอร์มการให้บริการสตรีมวิดีโอใหม่ของดีสนีย์ที่ชื่อ “ดีสนีย์ พลัส (Disney+)” เพื่อท้าชนกับคู่แข่งสำคัญอย่าง เน็ตฟลิกซ์ (Netflix), Amazon Prime VDO, HBO+, Hulu รวมถึงแอปเปิ้ลทีวีพลัส (Apple TV+) ในปลายปีนี้

 

ปรากฎการณ์เน็ตฟลิกซ์

จากแต่เดิมที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์เคยมีโครงสร้างที่เข้าใจง่ายและทำงานแยกจากกัน อาทิ บริษัทผู้ผลิตรายการ สตูดิโอ ช่องรายการ สถานีโทรทัศน์หรือเครือข่ายสื่อที่ต่างทำธุรกิจในลักษณะอีโคซิสเต็มเอื้อแก่กัน จนเมื่อเน็ตฟลิกซ์ (Netflix.com) เปิดให้บริการแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจสตรีมมิ่งวิดีโอแบบ “Direct-to-Consumer (DTC)” ทำให้พฤติกรรมการชมภาพยนตร์ของผู้คนเปลี่ยนไปอีกระลอกหนึ่งที่เรียกว่า “Binge-Watching” เกิดเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ในการชมคอนเทนท์ได้ตามเวลาที่ต้องการติดต่อกันไม่ต้องหยุดพักตลอด 24 ชั่วโมงผ่านอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นทีวี สมาร์ทโฟน แท็บเล็ตหรือเครื่องแล็บท๊อป พร้อมทำให้ค่าสมาชิกลดลงจนกระทบอุตสาหกรรมเคเบิลทีวีไปตามกัน

เน็ตฟลิกซ์ยังผันตัวกลายเป็นสตูดิโอผู้สร้างภาพยนตร์เอง (Original Content) และซื้อคอนเทนท์จากสตูดิโอต่างๆ โดยใช้แพลตฟอร์มตนเองในการแพร่ภาพยนตร์ จนเกิดเป็นกฏใหม่ในการแพร่ภาพและสร้างภาพยนตร์ ค่าตัวนักแสดง ตารางการฉายและแคมเปญการตลาด อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และเคเบิลทีวี จนเกิดการปรับตัวของอุตสาหกรรมอย่างขนานใหญ่

ล่าสุด AT&T เครือข่ายผู้กระจายสื่อได้เข้าควบรวมกิจการของกลุ่มไทม์วอร์เนอร์ (Time Warner) โดยรวมเอา Warner Bros. Studios, HBO และ Turner Broadcasting/CNN เข้าภายใต้กลุ่มเดียวกัน และที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อดิสนีย์สามารถควบรวมกิจการของ 21st Century Fox ขณะที่แอปเปิ้ลก็เริ่มให้บริการ Apple TV Plus เพื่อให้บริการในลักษณะทีวีไกด์ที่รวบรวมรายการทีวีต่างๆ ผ่านแอพเดียว และยังมีแผนผลิตภาพยนตร์และรายการของตนเองโดยใช้ผู้กำกับและนักแสดงชั้นนำมาร่วมผลิตคอนเทนท์อีกด้วย

 

เตรียมบุกด้วย Disney+

หลังจากที่เข้าซื้อกิจการในส่วนของ 21st Century Fox Studios ที่ 71,300 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2018 ดีสนีย์ได้กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตคอนเทนท์ระดับพรีเมี่ยมที่ใหญ่ที่สุดที่รวมเอา Marvel (MCU), Lucasfilm, Pixar, ABC และ ESPN ไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างความพร้อมให้กับกลุ่มดีสนีย์ในการเปิดบริการสตรีมมิ่งวิดีโอใหม่ “Disney+” แก่แฟนภาพยนตร์ด้วยคอนเทนท์ชั้นนำในเดือนพฤศจิกายน 2019 โดยสมาชิกเสียค่าสมัครเดือนละ 7 ดอลลาร์หรือปีละ 70 ดอลลาร์

บ๊อบ ไอเกอร์ ซีอีโอของดีสนีย์ ย้ำว่า “Disney+ เป็นบริการที่สู้ด้วยคุณภาพ มากกว่าปริมาณ” จึงไม่มีภาพยนตร์ Rate R เพื่อให้ Disney+ เป็นศูนย์รวมภาพยนตร์ยอดนิยมทั้งเก่าและใหม่จากค่ายดีสนีย์ ไม่ว่าจะเป็นแอนิเมชั่นสุดฮิตอย่าง Frozen และซีรี่ย์จากช่องดีสนีย์ (Disney Channel) รวมถึงแอนิเมชั่นน้ำดีจากค่ายพิกซาร์ (Pixar) ที่นำเอาสัตว์ประหลาดแสนน่ารักจาก Monsters, Inc. มาสร้างเป็นซีรี่ย์ให้แฟนรุ่นจิ๋วได้ชมเต็มอิ่ม ตลอดจนภาพยนตร์ใหม่ไม่ว่าจะเป็นตอนใหม่ของ Lion King และ Frozen II ที่จะออกฉายในโรงภาพยนตร์ในปี 2020 โดยดีสนีย์ยังมีแผนสร้างซีรี่ย์ตัวละครสุดโปรดจาก MCU อย่าง Hawkeye, Falcon, Winter Soldier, Scarlet Witch และ Vision ที่จะถูกฉายผ่าน Disney+ รวมถึงการนำภาพยนตร์ยอดฮิตสตาร์วอส์จาก Lucasfilm และสารคดีระดับแนวหน้าจาก National Geographic กว่า 250 เรื่องที่จะฉายให้ชมผ่านสตรีมมิ่งวิดีโออย่างจุใจ

 

ศึกใหญ่ที่ยังรออยู่

การเปิดบริการ Disney+ จึงเท่ากับเป็นการแข่งขันกับพันธมิตรรายใหญ่อย่างเน็ตฟลิกซ์และอเมซอน โดยเฉพาะกับเน็ตฟลิกซ์ที่ดีสนีย์ยอมสูญรายได้เกือบ 300 ล้านดอลลาร์ต่อปีไปพร้อมกับการยกเลิกลิขสิทธิ์การให้เช่าฉายภาพยนตร์ของดิสนีย์ผ่านทางเน็ตฟลิกซ์ นอกจากนี้ดีสนีย์ยังต้องเตรียมงบประมาณในการสร้างคอนเทนท์ใหม่ ตลอดจนปรับตัวให้เข้ากับกฏและสิ่งคาดหวังใหม่ที่เกิดในอุตสาหกรรม รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มการให้บริการลูกค้าออนไลน์และการเก็บเงินเพื่อรับมือกับสนามดิจิทัลที่ยังไม่คุ้นเคยแห่งนี้