เวลาและโอกาส

เวลาและโอกาส

ความสำเร็จที่แท้จริงนั้นต้องมีแนวทางที่ทำให้เรามีความสุขไปพร้อมๆ กันด้วยได้

ในชีวิตของคนทำงานโดยทั่วไปนั้น คงไม่มีใครปรารถนาความล้มเหลวเป็นเป้าหมาย เพราะทุกคนล้วนตั้งเป้าสู่ความสำเร็จเป็นหลัก แม้จะมีบางครั้งที่พลาดพลั้งไปบ้าง แต่เมื่อตั้งหลักได้ก็ขวนขวายพยายามแสวงหาความสำเร็จกันเช่นเดิม

แม้จะเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะพบความกับเป้าหมายที่ต้องการได้ง่าย ๆ หนังสือในแนวสร้างแรงบันดาลใจและเคล็ดลับความสำเร็จจึงเป็นหนังสือขายดีมาทุกยุคทุกสมัย แต่ละวันจึงมีคนที่คิดอยากเปลี่ยนแปลงตนเองอยู่เสมอ

แต่สิ่งหนึ่งที่คนมักมองข้ามไปเมื่อมุ่งเข้าหาความสำเร็จก็คือความสุข เพราะการใส่ใจกับเรื่องความสำเร็จมากเกินไปอาจทำให้เรามุ่งมั่นกับเป้าหมายในชีวิตจนละเลยแง่มุมเล็กๆ น้อยๆ ใช้ชีวิตประจำวันที่เป็นองค์ประกอบของความสุข

บางครั้งเมื่อมองเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้น มองเห็นความสำเร็จอยู่ไม่ไกลนัก เราก็ควรต้องขบคิดด้วยว่าทั้งหมดนี้ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นบ้างไหม เพราะความสำเร็จที่แท้จริงนั้นต้องมีแนวทางที่ทำให้เรามีความสุขไปพร้อม ๆ กันด้วยได้ การฝืนตัวเอง ฝืนความรู้สึก ฝืนวิถีความถูกต้องเพื่อความสำเร็จจึงไม่มีทางเติมเต็มให้กับเราได้เลย

ความสุขและความสำเร็จจึงต้องอยู่คู่กัน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จำเป็นต้องอาศัยทัศนคติคิดบวก มองโลกในแง่ดี มองทุกสิ่งรอบตัวเป็นโอกาส ทำให้ตัวเองตื่นตัวรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาเป็นการเปิดประตูรับความสำเร็จอยู่เสมอ ซึ่งผมรวบรวมข้อคิดไว้ให้ดังนี้

ข้อแรกต้องตระหนักว่า “ทุกวัน” คือวันที่เหมาะสมที่สุดเพื่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองสู่ความสำเร็จ อย่าปล่อยให้ความคิดเชิงลบ หรือเรื่องราวแย่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเหนี่ยวรั้งไม่ให้เราก้าวหน้าไปไหน แม้ว่าเมื่อวานนี้จะมีเรื่องราวให้เราไม่สบายใจ มีปัญหาที่ทำให้เราสะดุดติดขัดจนอาจทำให้เราไม่สำเร็จก็ตาม

เพราะปัญหาที่เกิดกับเราเมื่อวานไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งในวันนี้ ความล้มเหลวในอดีต ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าเราจะต้องล้มเหลวอีกในอนาคต เราจะตั้งสลัดความรู้สึกด้านลบออกไปแล้วเริ่มวันใหม่อย่างสดใส และคิดบวกให้มากที่สุด

การตื่นขึ้นมาพร้อมความวิตกกังวลถึงปัญหาในอดีต เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความเศร้าหมอง และหวาดหวั่นในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ว่าดีหรือร้ายก็ย่อมทำให้เราต้องวนเวียนอยู่กับความคิดเชิงลบตลอดทั้งวัน เราจึงอาจมองข้ามโอกาสดีๆ ที่เข้ามาเพราะความคิดลบบังตาจนทำให้มองไม่เห็น

ตรงกันข้ามกับการที่เราตื่นขึ้นมาโดยตัดความคิดเชิงลบทิ้งไปให้หมด แม้จะทำผิดพลาดไปในอดีตเราก็ต้องคิดว่าจะหาทางทำให้ดีกว่าเก่าได้อย่างไร ยิ่งคิดบวกเราก็จะยิ่งมองเห็นโอกาส มองเห็นทางแก้ไข เกิดความตื่นตัว และอยากกระโจนเข้าใส่งานทันทีเพราะรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร เราจึงพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน ไม่ต้องรอเทศกาลใด ๆ เพราะเราสามารถเริ่มวันใหม่ที่ตั้งเป้าสู่ความสำเร็จได้เสมอ

ข้อสอง เมื่อเรารู้จักคิดบวก และเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการขจัดความคิดเชิงลบออกไปได้แล้ว สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นและมีผลตามมามากมายก็คือ “โอกาส” ที่เข้ามาแต่ละวัน ซึ่งหากเรารับมือหรือจัดการได้ไม่ดีพอ เราก็อาจเสียโอกาสเหล่านั้นไปได้ง่าย ๆ

การทบทวนสิ่งที่ต้องทำและจัดลำดับความสำคัญของงานในทุก ๆ วันจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เราทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ อะไรเป็นสิ่งที่ส่งผลกับตัวเราได้มากที่สุด อะไรที่เป็นใบเบิกทางไปสู่ความสำเร็จขั้นต่อ ๆ ไปได้

หากจัดการได้ดี เราก็จะใช้เวลากับทุกวันได้อย่างเหมาะสม และใช้เวลาทุกนาทีได้อย่างมีค่าสูงสุด จนใกล้ความสำเร็จเข้าไปทุกวินาที