จากรายงานเกี่ยวกับถ่านหิน

จากรายงานเกี่ยวกับถ่านหิน

ในช่วงนี้ ปรากฏการณ์ด้านการเมืองคงกลบเรื่องอื่นเกือบหมด ในเมืองไทย เรื่องใหญ่คงได้แก่การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาหลังรอกันมาหลายปี

ส่วนในสหรัฐ คงไม่มีอะไรแซงเรื่องความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กับสภาผู้แทนราษฎรซึ่งตอนนี้พรรคฝ่ายค้านครองเสียงข้างมาก ด้วยเหตุนี้จึงอาจไม่มีสื่อนำเนื้อหาของรายงานซึ่งอาจมองได้ว่าสำคัญยิ่งมาเสนอ กล่าวคือ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์กรเอกชนซึ่งทำงานด้านสิ่งแวดล้อม 2 แห่งร่วมกันจัดพิมพ์รายงานเกี่ยวกับการใช้ถ่านหินในสหรัฐ รายงานนี้มีข้อมูลที่ประชาชนโดยทั่วไปและผู้คุมนโยบายของประเทศน่าจะใส่ใจ

ข้อมูลที่น่าใส่ใจอันดับต้น ได้แก่ การพบว่ากว่า 90% ของโรงไฟฟ้า 250 แห่ง ที่เผาถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงก่อให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดินของบริเวณรอบ ๆ โรงไฟฟ้า สารปนเปื้อนมีด้วยกันถึง 12 อย่าง รวมทั้งสารหนูซึ่งยอมรับกันแล้วว่าเป็นตัวก่อมะเร็งและโคบอลต์ซึ่งกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ สารปนเปื้อนเหล่านี้มาจากขี้เถ้าอันเกิดจากการเผาถ่านหินราว 800 ล้านตันส่งผลให้เกิดขี้เถ้าปริมาณ 110 ล้านตันต่อปี เจ้าของโรงไฟฟ้าฝังขี้เถ้าไว้ในหลุมกลบเช่นเดียวกับขยะอื่น แม้จะมีการปูพื้นอย่างดีที่ก้นและผนังของหลุมฝังกลบขี้เถ้า แต่มันป้องกันการรั่วซึมทั้งหมดไม่ได้เพราะปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งการเสื่อมสภาพของวัสดุปูพื้นหลังเวลาผ่านไป

จริงอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีผลการวิจัยที่ชี้ชัดว่า สารปนเปื้อนเหล่านั้นได้เข้าไปทำให้แหล่งน้ำดื่มของชุมชนเสียหายจนสรุปได้แน่นอน แต่มันชี้ชัดว่าปัญหาจะร้ายแรงขึ้นเพราะประชาชนราว 90 ล้านคนต้องอาศัยแหล่งน้ำใต้ดินและมีข้อมูลเชิงประจักษ์ว่าจำนวนหนึ่งได้รับผลกระทบแล้วแน่นอน นอกจากจะใช้น้ำใต้ดินภายในบ้านเพื่อการอุปโภคบริโภคแล้ว พวกเขายังใช้แหล่งน้ำนั้นเพื่อการทำเกษตรกรรมอีกด้วยแม้ตอนนี้จะยังไม่มีการวิจัยว่าสารปนเปื้อนดังกล่าวได้ก่อผลเสียหายหรือไม่ก็ตาม

การปนเปื้อนดังกล่าวนั้น เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ติดมากับการเผาถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้า นอกจากนั้นยังมีปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวอีกด้วย เช่น เมื่อพายุใหญ่ถล่มชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว พายุนั้นทำให้น้ำท่วมโรงงานไฟฟ้าถ่านหินแห่งหนึ่งซึ่งส่งผลให้แหล่งน้ำรอบด้านเสียหายมาก เมื่อภาวะโลกร้อนทำให้พายุเกิดบ่อยขึ้นและแต่ละครั้งรุนแรงขึ้น ความเสียหายนับวันจะร้ายแรงยิ่งขึ้น

รายงานดังกล่าวไม่รวมผลกระทบอันเกิดจากควันของการเผาถ่านหินซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดมลพิษในอากาศและภาวะโลกร้อน แต่ก็ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า การผลิตไฟฟ้าโดยการเผาถ่านหินสร้างปัญหาร้ายแรง กระนั้นก็ดี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเข้าข้างอุตสาหกรรมทำเหมืองและการใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้า เมื่อไม่นานมานี้ เขาจึงแต่งตั้งคนของอุตสาหกรรมถ่านหินเป็นผู้บริหารองค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อม องค์การนี้กำลังพยายามอย่างเต็มที่จะให้รัฐบาลลดความเข้มข้นของมาตรการควบคุมการผลิตและการใช้ถ่านหิน ที่เป็นเช่นนี้เพราะนายทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทางการเมืองจากผู้ทำอุตสาหกรรมนั้น

ข้ออ้างสำคัญของการลดการควบคุมอุตสาหกรรมถ่านหินได้แก่มันจะช่วยในด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือในอีกนัยหนึ่งคือการหาเงินและเพิ่มความร่ำรวย ข้ออ้างแนวนี้มักนำมาใช้ในเรื่องอื่นด้วยทำให้นึกถึงคำตอบของท่านทะไล ลามะ เมื่อมีผู้ถามว่าอะไรทำให้ท่านประหลาดใจที่สุดเกี่ยวกับมนุษยชาติ นั่นคือ มนุษย์เรายอมสละสุขภาพเพื่อหาเงินแล้วก็ใช้เงินนั้นเพื่อรื้อฟื้นสุขภาพ”  ในปัจจุบัน สหรัฐมิใช่ประเทศยากจนที่มีความอดอยากอย่างแพร่หลายที่จำเป็นต้องทำเหมืองและเผาถ่านหินเพื่อแก้ความอดอยาก หากมันเป็นการทำเพื่อเพิ่มความร่ำรวยให้คนบางกลุ่มพร้อมกับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียสุขภาพให้กลุ่มอื่น

หันมามองเมืองไทย ภาพโดยทั่วไปคงไม่ต่างกันนัก แม้เมืองไทยจะไม่ก้าวหน้า หรือพัฒนาไปมากเท่ากับสหรัฐ แต่เมืองไทยไม่มีความอดอยากอย่างแพร่หลายถึงกับต้องเผาถ่านหินขยายเศรษฐกิจเพื่อลดความอดอยาก ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการถามเหล่าผู้นำที่กำนโยบายว่า ถ้าจะเผาถ่านหิน เผาเพื่ออะไรและใครจะได้รับประโยชน์และใครจะได้รับผลกระทบ