แหวกม่านแดนภารตะ ส่องตลาดทุนอินเดีย (2)

แหวกม่านแดนภารตะ ส่องตลาดทุนอินเดีย (2)

ในครั้งที่แล้วผู้เขียนได้เล่าถึงภาพรวมทางเศรษฐกิจและพัฒนาการของตลาดทุนอินเดียไปแล้ว

ในคราวนี้จึงขอเล่าเกี่ยวกับผู้ลงทุนในตลาดทุนอินเดียเพื่อให้เห็นภาพตลาดทุนของประเทศอินเดียชัดขึ้น โดยจากข้อมูลจะเห็นว่าอินเดียและไทยมีโครงสร้างของผู้ลงทุนคล้ายๆ กัน

พูดง่ายๆ คือ เป็นตลาดที่มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายผู้ลงทุนบุคคลในประเทศหรือที่เรียกว่ารายย่อยอยู่มาก โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 40–50 ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์อินเดียจึงให้ความสำคัญกับการขยายฐานและการอำนวยความสะดวกให้กลุ่มผู้ลงบุคคลในการเข้ามาใช้ตลาดทุนเช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ไทย 

ในแง่สัดส่วนของการเข้าถึงตลาดทุนโดยพิจารณาจากสัดส่วนบัญชีหุ้นเทียบกับจำนวนของประชากร  ก็ยังพบว่า อินเดีย มีสัดส่วนใกล้เคียงกับไทย คือ ประมาณ 3% ของประชากร (34.8 ล้านบัญชี จากประชากร 1.3 พันล้านคน ในประเทศอินเดีย และ 2.5 ล้านบัญชี จาก 70 ล้านคนในประเทศไทย ตัวเลข ณ สิ้นปี 2018)

โดยในกรณีของอินเดียนั้น เป็นประเทศที่กว้างใหญ่มาก และมีภูมิประเทศที่ทุรกันดารในหลายพื้นที่  ดังนั้น อินเดียจึงมีวิถีของตนเองในการที่เข้าถึงผู้ลงทุน โดยอย่างแรกที่เห็นคือการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้ตรงกับ Lifestyle และความต้องการของผู้ลงทุนแต่ละประเภท เช่น ปัจจุบันมีโบรกเกอร์ในอินเดียหลายแห่งที่นำเทคโนโลยี E-KYC ที่อาศัยการตรวจสอบตัวตนผ่านช่องทาง Digital

เช่น ระบบ Biometric (ลายนิ้วมือหรือใบหน้า) มาช่วยในการเปิดบัญชีซื้อขายร่วมกับการกำหนด Single Bank Account มาเพื่ออำนวยความสะดวก ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเปิดบัญชีซื้อขายได้อย่างรวดเร็วและไม่จำเป็นต้องเดินทางมาพบกับโบรกเกอร์แบบ Face to Face ซึ่งในบ้านเราก็เริ่มมีการพัฒนาไปในรูปแบบเดียวกันเพื่อให้สอดคล้องกับ Lifestyle ของคนรุ่นใหม่ และมีต้นทุนที่ต่ำลงจากการใช้เทคโนโลยี

 อีกส่วนหนึ่งที่แตกต่างจากบ้านเราคือ ในไทยนั้นบริษัทหลักทรัพย์ต้องเปิดสาขาในจังหวัดต่างๆ แต่ด้วยความที่อินเดียมีพื้นที่ใหญ่มาก การเปิดสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ในจำนวนมากๆ จึงอาจเป็นต้นทุนที่สูงมากและเป็นภาระต่อบริษัท ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์อินเดียจึงใช้รูปแบบ Franchise เพื่อลดต้นทุนการเปิดสาขา และทำให้สามารถขยายฐานผู้ลงทุนได้ในวงกว้าง

โดยทางสำนักงานใหญ่จะใช้ระบบ CRM (Customer Relationship Management) มาช่วยในการควบคุมคุณภาพการให้บริการ และดูแล Franchisees ให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ด้วย อันนี้นับตั้งแต่การใช้ AI มาให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่ในการโทรติดต่อให้คำแนะนำลูกค้าว่าควรโทรหาลูกค้าใดก่อนหลัง โดยจัดลำดับความสำคัญให้ การให้คำแนะนำการซื้อขายหุ้น ก็ต้องเป็นไปตามที่สำนักงานใหญ่กำหนด ทุกอย่างจะมีการเก็บบันทึก และสุ่มตรวจเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของบริการว่าจะเหมือนกันในทุกสาขา พูดง่ายๆ เหมือนไปทานแฮมเบอร์เกอร์ของ Franchise ใดๆ ก็ควรได้รสชาติเดียวกันประมาณนั้นเลย

นอกเหนือจากการขยายฐานผู้ลงทุนทั่วไปแล้วนั้น สิ่งที่น่าสนใจของอินเดียอีกอย่างหนึ่งก็คือการที่อินเดียมีการปรับตัวและพัฒนาการต่างๆ ไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในด้านกฏเกณฑ์ โดยในปัจจุบันอินเดียใช้นโยบายที่จะให้การพัฒนาธุรกรรมต่างๆ เกิดในประเทศ โดยทางการอินเดียจึงมีการพิจารณามาตรการต่างๆ สนับสนุนให้มีผู้ร่วมตลาดทุน (Market Participant) ที่หลากหลายและมุ่งให้เกิดความสะดวกในการใช้ตลาดทุนเป็นทางเลือก

ตัวอย่างเช่น กรณีที่หน่วยงานภาครัฐผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้ลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อขายและลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์ได้ เช่น การอนุญาตให้ผู้ลงทุนต่างชาติที่เผชิญความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการเข้ามาลงทุนประเทศอินเดียสามารถซื้อขาย USD Futures เพื่อใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงได้ รวมทั้งลดข้อจำกัดด้านเอกสารต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ลงทุนใช้เครื่องมือทางการเงินผ่านตลาดอนุพันธ์ (Exchange Traded) แทนการซื้อขายแบบ OTC (Over The Counter) ได้สะดวกยิ่งขึ้น

การเพิ่มจำนวนและความหลากหลายของ Market Participant ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการในฐานะผู้ที่ต้องการบริหารความเสี่ยง (Hedger) ผู้ลงทุนที่เข้ามาร่วมตลาดเพื่อหาโอกาสสร้างผลกำไร (Speculator) รวมถึงผู้ลงทุนต่างชาติ ซึ่งผู้ร่วมตลาดแต่ละประเภทมีความเสี่ยงที่ต้องการบริหารที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดมุมมองในการซื้อขายที่หลากหลาย ซึ่งช่วยสร้างความสมดุลของตลาดในระยะยาวอีกด้วย

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ คงเป็นส่วนหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากทริปอินเดีย ที่ทำให้ได้เห็นมุมมองและประสบการณ์ของผู้ประกอบธุรกิจในตลาดอินเดีย ซึ่งผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทางจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้เรียนรู้และอาจนำมาการพัฒนาและประยุกต์ใช้กับตลาดบ้านเรา โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการขยายฐานและเข้าถึงผู้ลงทุน ให้ตรงกับความต้องการและ Lifestyle ที่เปลี่ยนไป

ซึ่งเท่าที่ผู้เขียนทราบ ผู้ประกอบการในอินเดียเองก็ให้ความสนใจที่จะขยายธุรกิจมายังประเทศไทย ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เราจะมีพัฒนาการบางอย่างเหมือนที่อินเดียหรือไม่ก็เห็นผู้ประกอบการใหม่ๆ ของอินเดียโดยเฉพาะด้าน Fintech ขยายธุรกิจเข้ามาในไทยในอนาคต