โอตะหุ้น

โอตะหุ้น

ม่เคยมองว่าความเป็นโอตะเป็นเรื่อง 'ไร้สาระ'

คำว่า 'โอตาคุ' หรือ 'โอตะ' มักใช้กับคนที่คลั่งไคล้ในอะไรสักอย่างมากๆ หากเป็นภาษาไทยน่าจะเปรียบได้กับ 'แฟนพันธุ์แท้'

ในรอบหลายปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมป๊อปญี่ปุ่นแพร่หลายเข้ามาในเมืองไทยค่อนข้างมาก อันจะเห็นได้จากกรณี 'BNK 48' ที่ทำให้ทั้ง 'วัยรุ่น' และ 'วัยไม่รุ่น' บ้านเราชื่นชอบกันสุดๆ จนรวมตัวกันกลายเป็น 'แฟน' หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 'โอชิ' ของศิลปินแต่ละคน

ไม่ว่าจะเป็น โอชิเฌอ, โอชิมิวสิค, โอชิเต็น (เจนนิส), โอชิปัญ ฯลฯ

แต่ใครจะรู้บ้างว่า 'วงการหุ้น' ก็มีโอตะคุกับเขาเช่นกัน หรือถ้าจะเรียกว่า 'โอตะหุ้น' ก็น่าจะพอได้

หนึ่งในนั้นคือ 'เมษ' นักลงทุนรุ่นน้องของผม

ผมรู้จักเมษครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนทางโลกโซเชี่ยล และเริ่มสนิทสนมด้วยความที่ทัศนคติหลายๆ อย่างถูกต้องตรงกัน

เมษเป็น 'โอตะหุ้น' ตัวจริงเสียงจริง โดยเฉพาะ 'หุ้นต่างประเทศ' โดยส่วนตัว ผมกล้าพูดได้เลยว่า ไม่เคยเห็นใครหมกมุ่นคลั่งใคล้ 'หุ้นนอก' เท่ากับเขา

เมษจะมีพฤติกรรมซ้ำเดิมอยู่ตลอด คือนั่งดูหุ้นอยู่ที่ร้านกาแฟดริปชั้น 1 หอศิลป์กรุงเทพฯ ทุกวัน ตั้งแต่บ่ายจรดเย็น เวลาผมต้องการพบเมษ ผมแทบไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้าใดๆ เพียงไปที่นั่น ก็จะพบภาพที่คุ้นตา คือเมษกำลังจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีงบการเงินของหุ้นหลากหลายประเทศทั่วโลกปรากฏอยู่ในนั้น

แม้กระทั่งวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันของครอบครัว หากผมบังเอิญแวะไปทำธุระแถวหอศิลป์ ก็จะพบเมษนั่งอยู่ที่เก่า หรือแม้แต่ตอนที่เมษไปเที่ยวโตเกียวและนัดพบผม ณ ร้านกาแฟย่านอุเอโนะ ทันทีที่พบหน้ากัน เมษก็เอ่ยปากชวนผมคุยเรื่องหุ้นทันที โดยไม่พร่ำพรรณนาถึงความสวยงามของดอกซากุระซึ่งบานสะพรั่งอยู่ในเวลานั้น

นอกจากนี้ เมษยังเป็นสมาชิกของเว็บไซต์และศูนย์ข่าวต่างประเทศมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Bloomberg, Morningstar, Wall Street Journal, Financial Times ฯลฯ เขายอมเสียเงินปีละหมื่นบาท เพื่อให้ได้เข้าถึงข้อมูลชุดเดียวกับผู้จัดการกองทุนของ บลจ. ขนาดใหญ่

โดยส่วนตัว ผมไม่เคยมองว่าความเป็นโอตะเป็นเรื่อง 'ไร้สาระ' เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน หากจะกระทบอะไรสักอย่าง ก็คงเป็น 'กระเป๋าเงิน' ของใครของมัน ที่ต้องจับจ่ายเป็นค่าซีดี, ค่าของที่ระลึก, ค่าบัตรคอนเสิร์ต, ค่าโหวต และอื่นๆ

แต่สำหรับ 'โอตะหุ้น' อย่างเมษ ยิ่ง 'บ้าหุ้น' ยิ่ง 'ได้เงิน' การมีงานอดิเรกหรือสิ่งที่รัก ที่ยิ่งทำ ยิ่งชอบ ยิ่งรวย น่าจะถือเป็นความโชคดีอย่างถึงที่สุดประการหนึ่งของชีวิตแล้ว