มองโลกใน 10 ปีข้างหน้า

มองโลกใน 10 ปีข้างหน้า

การคาดคะเนและวิเคราะห์จากองค์ประกอบสี่อย่างคือประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิอากาศ และเทคโนโลยี

จะทำให้เราเห็นภาพโลกในอีก 10 ปีข้างหน้าค่อนข้างชัดเจน

ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 7 พันล้านคนเป็น 9 พันกว่าล้านคน ภายใน 40 ปีข้างหน้า ปากท้องสิ่งบริโภคต้องเพิ่มขึ้นเพื่อสนองอีก 2 พันกว่าล้านคน

ขอบเขตที่แบ่งเป็นประเทศในปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนแปลงเพราะการสื่อสารคมนาคมและเศรษฐกิจความร่วมมือในภูมิภาคเสริมด้วยเทคโนโลยีจะทำให้ผันแปรตามอุปสงค์และอุปทาน ประเทศที่มีเศรษฐกิจดีแนวโน้มจำนวนประชากรจะลดลง ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาจำนวนประชากรจะมากขึ้น

ไทยเราก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างของประเทศที่ประชากรจะค่อยๆลดลง และจะมีอายุโดยเฉลี่ยสูงขึ้น นโยบายสำคัญหลายอย่างต้องปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด หากจะเพิ่มประชากรด้วยการส่งเสริมให้มีลูกมากขึ้นคงจะเป็นไปได้ยาก ไต้หวัน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ก็เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันต้องปรับนโยบายเพื่อรับคนวัยทำงานเข้ามาจากประเทศอื่น

ทรัพยากรธรรมชาติทั่วโลกก็จะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนข้ามชาติ การลงทุนแบบไร้พรมแดนจะเกิดขึ้นมากจนควบคุมแบบปัจจุบันไม่ได้ การบริหารทรัพยากรจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเรามีบทเรียนหลายอย่างเรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อมและความฟุ่มเฟือย ผู้บริโภครุ่นใหม่จะส่งสัญญาณถึงบริษัทมหาชนระหว่างประเทศต่างๆ ให้ประกอบธุรกิจด้วยความรับผิดชอบมากขึ้น

Blockchain technology และปัญญาประดิษฐ์ต่างๆจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วและการตรวจสอบสินค้า และการเงิน ฯลฯ การกระทบกระทั่งเรื่องผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จะเป็นชนวนเหตุถึงความขัดแย้ง ตัวอย่างเช่น น้ำเพื่อการบริโภคและเกษตรกรรม แต่ในที่สุดประเทศที่ใช้แม่น้ำร่วมกันจะต้องหาทางประสานงานเพื่อความอยู่รอด

การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ก็จะทำให้เราจำเป็นต้องร่วมมือกัน สมาคมโลกจะต้องประสานงานกันมากขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีพรมแดน เช่น เรื่องมลภาวะอากาศ ดินและน้ำเป็นต้น บางจุดจะเริ่มปรับปรุงแต่บางจุดก็ยังควบคุมไม่ทั่วถึง แต่ในที่สุดสมาคมโลกก็จะต้องร่วมมือกันเข้าไปช่วยเพราะปัญหาใหญ่เกิดที่ใดหากไม่ช่วยกันไปแก้ไขจะกระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

เทคโนโลยีก้าวกระโดดทุกวันคนส่วนใหญ่จะตามไม่ทัน แยกไม่ออกว่าอะไรคือสิ่งที่มีประโยชน์และจำเป็นต้องใช้และสิ่งใดคือมนุษย์ อะไรคือสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์

ภายในสองปีข้างหน้า เทคโนโลยี 5G จะเริ่มมีบริการในเมืองใหญ่ก่อน และจะกระจายออกไปแทบทุกแห่งในโลกภายใน 10 ถึง 15 ปีสัญญาณ 5G มีคุณภาพสูงแต่ส่งได้เพียงพื้นที่จำกัด จะต้องใช้ทรานสมิตเตอร์จำนวนมาก เพราะมีรัศมีการส่งเพียงแค่ 300 เมตร หากจะเปรียบเทียบ 4G เปรียบเสมือนคลื่นวิทยุ เอ.เอ็ม. ส่งสัญญาณไกลมาก ส่วน 5G เป็นเสมือนคลื่น เอฟ.เอ็ม. ที่คุณภาพเพิ่มมาก แต่ส่งได้ในเนื้อที่จำกัด

5G ไม่ใช่เป็นเพียงการเพิ่มสมรรถนะจาก4Gไปอีกระดับหนึ่ง แต่จะเป็นการก้าวกระโดดและเปลี่ยนพฤติกรรมของเราแทบทุกอย่างเพราะความฉับไวเหมือนและมากกว่าที่มนุษย์ทำได้

ตัวอย่างของการใช้ 5G คือ การควบคุมการคมนาคมทางรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน เป็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ปัญหารถติดและอุบัติเหตุจะลดลงมากหรือเกือบหายหมด เพราะการคำนวณข้อมูลโดยปัญญาประดิษฐ์จะเก่งกว่ามนุษย์ การแพทย์และพยาบาลจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น สามารถทำการผ่าตัดจากผู้เชี่ยวชาญข้ามทวีปได้ การเกษตรจะมีการควบคุมการจัดการทุกขั้นตอนรวมทั้งการใช้น้ำและอาหารให้พืชได้ละเอียดทำให้มีผลผลิตมากขึ้น ฯลฯ

ผู้ที่มีโอกาสใช้ประโยชน์ของการพัฒนาทางเทคโนโลยีก็จะได้เปรียบในเรื่องการทำมาหากินโดยเฉพาะในเมืองใหญ่และการค้านานาชาติ ในทางตรงกันข้ามจะมีคนบางกลุ่มซึ่งไม่มีโอกาสหรืออาจเลือกที่จะไม่บริโภคการก้าวกระโดดของปัญญาประดิษฐ์ทั้งหลาย แต่จะหันมาเพิ่มปัญญามนุษย์ โดยการเรียนรู้สิ่งพื้นฐาน ภูมิปัญญาของมนุษย์ควบคู่กับความเป็นธรรมชาติและวัฒนธรรม ผลตอบแทนก็คือจะได้ความเด่นและมูลค่ามากเช่นกัน

ผู้ที่รู้จักใช้การดำรงชีวิตแบบธรรมชาติและประสานงานการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างสมดุลจะยิ่งได้เปรียบ

โลกนี้ใบเล็กการติดต่อสื่อสารคมนาคมทำให้เราหลีกเลี่ยงกันแทบไม่ได้ 5G เป็นสัญญาณเตือนว่าต่อไปจะยิ่งมีสิ่งแปลกใหม่เข้ามาเพื่อท้าทายให้เราปรับตัว

อย่างไรก็ตามบ้านเมืองเราไม่น่าเป็นห่วง เพราะเราเก่งเรื่องการปรับตัวอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น การใช้มือถือในการส่งรับเงินทำธุรกิจการธนาคาร คนไทยรู้จักวิธีการใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างรวดเร็วเป็นอันดับต้นต้นของโลก โครงสร้างพื้นฐานเราดี ต่อไปจะเห็นน้อยลงว่าใครถือเงินสดไปตลาด เพราะจะเป็นภาระทำให้เกิดความไม่สะดวก ผู้ขายจะผลักดันให้ผู้ซื้อจ่ายเงินแบบดิจิตอล ในจีนและอินเดียเป็นตัวอย่างของการยอมรับสิ่งใหม่ ถึงแม้ระยะแรกจะมีการต่อต้านบ้าง

ฤกษ์ดีที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ความพยายามที่จะเป็นประชาธิปไตย การเลือกตั้งที่จะมาถึงครั้งนี้ก็หวังว่าจะนำไปสู่ความมั่นคงมากขึ้น แต่หากเกิดสิ่งใดสุดวิสัยทำให้เกิดความวุ่นวายบ้าง เราทุกคนก็คงจะหาทางประนีประนอมเลือกทางออกที่พอจะยอมรับได้และดำเนินชีวิตต่อไป

กลุ่มผู้มีอำนาจปัจจุบันหากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้บริหารบ้านเมืองต่อไปก็คงจะสานต่องานที่ทำไว้และดันโครงการใหญ่หลายอย่างให้บรรลุ พร้อมทั้งรักษาความสงบในประเทศ ส่วนการที่จะมีประท้วงวิจารณ์กันบ้างก็คงเป็นธรรมดา อดทนและให้อภัยซึ่งกันและกัน

เราช่วยกันประคับประคองอยู่อย่างมีสันติและความสงบตามวิถีชีวิตพอประมาณ เปิดใจให้กว้างรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลก ถนอมตัวไว้เพราะมีสิ่งดีดีที่น่าสนใจมากกว่านี้รออยู่ครับ