วิกฤติหลังปิดหีบ

ที่สร้างความเชื่อมั่นได้น้อยที่สุด

และความเชื่อมั่นจะดิ่งวูบลงไปอีก แถมจะมีปัญหาขัดแย้งตามมาอีกมากทันทีที่ปิดหีบลงคะแนน ช่วงเย็นวันที่ 24 มี.ค. (กรณีมีเลือกตั้ง) เหตุเพราะ...

ทีวีทุกช่อง สื่อทุกสื่อจะชิงกันรายงานผลการนับคะแนน ว่ากันว่าด้วยเทคโนโลยีสื่อสารอันทันสมัย หลังปิดหีบไม่ถึง 2 ชั่วโมง คือราวๆ 1 ทุ่มก็จะรู้ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการกันแล้ว จากนั้นตัวเลขคะแนนก็จะถูกนำไปคำนวณจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์คร่าวๆ ของแต่ละพรรค และเริ่มคิดสูตรคณิตศาสตร์เพื่อตั้งรัฐบาลผ่านหน้าจอทีวี ประชาชนทั่วประเทศก็จะจดจำทั้งตัวเลขและโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ตามการนำเสนอของสื่อ

แต่ต้องไม่ลืมว่า กกต.ยังมีเวลาอีกราวๆ 45-60 วันก่อนประกาศรับรองผลเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนต่างๆ ของแต่ละเขต โดยเฉพาะการทุจริต จากนั้นจะเป็นเทศกาลแจก “ใบเหลือง - ใบส้ม”

ถ้าพรรคผู้ชนะหลังปิดหีบถูกแจกใบส้ม เอาเบาๆะ แค่ 15 ใบ จำนวน ส.ส.จริงที่จะหายไปอาจมากถึง 20-25 คน เพราะผู้สมัครที่ได้ใบส้มต้องออกจากการแข่งขัน เมื่อ กกต.สั่งเลือกตั้งใหม่ ผู้สมัครคนเก่าจะลงไม่ได้ และพรรคการเมืองต้นสังกัดก็ส่งผู้สมัครคนอื่นลงแทนไม่ได้ (แข่งกันเฉพาะที่เหลือ) คะแนนที่ได้อยู่เดิมและถูกนำไปคิดปาร์ตี้ลิสต์แล้วจะถูกลบทิ้งไป

สมมติพรรคโชคร้ายนั้นคือพรรคเพื่อไทย และเผอิญยุทธศาสตร์ที่คุณหญิงสุดารัตน์ประกาศขอคะแนนเขตละ 70,000 เป็นจริง โดนใบส้ม 15 เขต หายไปล้านกว่าคะแนน ว่าที่ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จะหายไป 10 กว่าคนเลยทีเดียว (คิดอัตราคะแนน 70,000 ต่อ ส.ส.1 คน) ไม่นับ ส.ส.เขตที่โดนแบนไปแล้วอีก 15 เขต

เผลอๆ พรรคเพื่อไทยที่เคยเป็นแกนนำรัฐบาลบนหน้าจอทีวีวันที่ 24 มี.ค. อาจกลายเป็นฝ่ายค้านในทางความเป็นจริง แบบนี้พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยจะยอมหรือไม่ แฟนคลับทั่วประเทศจะยอมหรือเปล่า

ในทางกลับกัน ถ้าเกิดกรณีกระแสพรรคใดพรรคหนึ่ง “ฟีเวอร์” ทำให้ชนะ ส.ส.เขตมาก จำนวน ส.ส.เขตมากกว่า “ส.ส.พึงมี” ตามสูตรคำนวณของ กกต. จำนวน ส.ส.เขตที่เกินไปนั้นจะไป “กินที่” ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคขนาดกลางและเล็กที่หวังสะสมคะแนนตกน้ำเพื่อแปรเป็น ส.ส. ถ้าเป็นแบบนี้พรรคขนาดกลางและเล็กที่ถูกลดที่นั่งตามสูตร “บัญญัติไตรยางค์ย้อนกลับ” ของ กกต.จะยอมหรือไม่

นี่ยังไม่นับปรากฏการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ คือ ส.ว.ไปโหวตเลือกผู้นำพรรคที่ไม่ได้ชนะเลือกตั้งมาเป็นนายกรัฐมนตรี...คุณคิดว่าบ้านเมืองจะสงบได้จริงหรือ?