วิกฤติฝุ่นพิษ ถอดบทเรียนจากยุโรป

วิกฤติฝุ่นพิษ ถอดบทเรียนจากยุโรป

วิกฤติฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทย โดยเฉพาะที่รุนแรงมากในเขตเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเมืองใหญ่อื่นๆ

สะท้อนให้เห็นปัญหาเรื้อรังของประเทศ ที่ดูเหมือนยังจะไม่มีมาตรการแก้ไขในระยะกลางและระยะยาวอย่างชัดเจน นอกเสียจากมาตรการระยะสั้นอย่างให้หยุดโรงเรียนกันไปเพียงไม่กี่วัน และล่าสุดรัฐบาลได้กำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” แต่กำหนดเป็นวาระแห่งชาติแล้ว ทางออกและมาตรการการลดฝุ่นพิษและมลภาวะทางอากาศของชีวิตคนเมืองและคนไทยจำนวนหลายสิบล้านคนยังคงไม่ชัดเจน

วิกฤติฝุ่นพิษนี้น่าจะถือเป็นวิกฤติในโอกาสดีๆ ที่ยิ่งต้องปลุกระดมความสนใจของทุกฝ่ายให้มีส่วนร่วมในการกำหนดและหาทางแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทย และสิ่งแวดล้อมให้ได้อย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม

วันนี้ อยากลองถอดบทเรียนจากนโยบาย Clean Air for All ของยุโรปมาเป็นแนวคิดเผื่อรัฐบาลไหน (จะใหม่หรือเก่า) อาจจะลองนำไปพิจารณาดู

ยุโรปมองว่าผลกระทบจากมลพิษทางอากาศต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมนั้นร้ายแรงมาก สถิติบอกว่าทุกๆ ปี ในยุโรปมีจำนวนผู้ที่ต้องเสียชีวิตจากผลกระทบจากมลพิษทางอากาศถึงปีละ 400,000 คน ซึ่งคิดแล้วมีจำนวนมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเกือบ 10 เท่า และมีคนต้องเจ็บป่วยจากโรคทางเดินหายใจที่เป็นผลมาจากมลพิษปีละกว่า 6.5 ล้านคนทุกปี ที่สำคัญ มลพิษยังมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งพืชและสัตว์ ไม่ใช่เฉพาะเป็นอันตรายของมนุษย์เท่านั้น (น่าสนใจว่าสถิติดังกล่าวของไทย จะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าคงไม่น้อยไปกว่ากัน)

ยุโรปได้เริ่มดำเนินนโยบายในการแก้ไขปัญหามลพิษมานานกว่า 50 ปีแล้ว (ไม่เฉพาะมลพิษทางอากาศ แต่เน้นการแก้ไขปัญหามลพิษทางเสียงควบคู่ไปด้วย) ปี 2013 สหภาพยุโรปหรืออียูมีนโยบายควบคุมและลดมลภาวะของอากาศประเทศสมาชิกผ่านนโยบายที่ชื่อว่า Clean Air Policy Package ที่เข้มข้นขึ้น เป็นการกำหนดเป้าหมายและมาตรการที่จะนำไปสู่การลดมลภาวะทางอากาศอย่างเป็นรูปธรรมโดยตั้งเป้าเป็นแผน 15 ปีข้างหน้า (นับแต่ปี 2013) และมีการติดตามและตรวจสอบผลของแต่ละประเทศอย่างจริงจัง จึงอยากแนะนำไทยว่า หากเราจะวางแผนแห่งชาติลดมลพิษทั้งที กำหนดเป้าหมายการลดมลพิษเป็นแผน 15 ปี น่าจะเหมาะสมอยู่

นโยบาย Clean Air Policy Package ของนี้ครอบคลุมมลพิษอะไรบ้าง และมุ่งเป้าไปที่การแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง

· การกำหนดมาตรฐานสำหรับการวัดคุณภาพอากาศ (Ambient Air Quality Standards) สำหรับชั้นโอโซนระดับพื้นราบ รวมระดับฝุ่น PM, ไนโตรเจน (ได)ออกไซน์, ระดับโลหะหนักที่เป็นอันตลาดต่างๆ โดยทุกประเทศสมาชิกยุโรปมีกำหนดเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจน

· กำหนดเพดานของการปล่อยมลพิษประเภทที่กระจายตัวไปได้ทั่วทุกบริเวณ (trans-boundary air pollutants) อาทิ เซอล์เฟอร์ออกไซน์ ไนโตรเจน (ได)ออกไซน์ อาโมเนีย และฝุ่นอื่นๆ (ดูภาพประกอบข้างล่าง)

· ที่สำคัญ กำหนดระดับของการปล่อยสารมลพิษจากต้นตอหลักๆ ของมลพิษ ตั้งแต่ยานพาหนะบนท้องถนนประเภทต่าง (รถยนต์ส่วนตัว รถบรรทุก) ไปจนถึงเรือ รวมถึงโรงงานอุตสาหหกรรมและแห่งผลิตพลังงาน อย่างชัดเจนและเข้มงวด

· รวมทั้งยังส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการพัฒนาการขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ

Factsheet ของคณะกรรมาธิการยุโรป

มาตรการห้ามใช้รถยนต์ดีเซลในเขตเมือง

ยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ แทรนด์ยกเลิกใช้รถยนต์ดีเซลมาแรง เมื่อปีที่แล้วนี้เอง ศาลเยอรมันตัดสินให้รัฐบาลของแต่ละเมืองของเยอรมนีสามารถแบนหรือห้ามรถยนต์ดีเซลวิ่งเข้ามาในเขตพิเศษด้านสิ่งแวดล้อมของเมืองได้ (คือแต่ละเมืองข้อกำหนดไม่เหมือนกัน เป็นอำนาจของแต่ละเมืองที่จะกำหนด) ตามการยื่นคำร้องต่อศาลของกลุ่ม NGOs เยอรมัน (เป็นอีกความสำเร็จของการเรียกร้องจากลุ่ม NGOs)

เพิ่งเริ่มใช้เมื่อ 1 ม.ค. 2019 นี้เอง เมือง Stuttgart โดยรัฐบาลท้องถิ่น Baden-Wuerttemberg ได้กำหนดโซนพิเศษ (ในเมือง) ห้ามไม่ให้รถยนต์ดีเซลที่มีระดับการปล่อยมลพิษในระดับ 4 ที่เรียกติดหูว่า “ยูโร 4” หรือต่ำกว่า เข้าไปวิ่ง และให้เวลาอีก 1 ปี คือ 1 ม.ค. 2020 จะขยับไปห้ามรถยนต์ดีเซลที่มีระดับการปล่อยมลพิษในระดับ “ยูโร 5” (ซึ่งระดับยูโร 5 นี้ดีกว่า และมีการปล่อยมลพิษน้อยกว่ายูโร 4 แล้ว) ไม่ให้เข้าไปในโซนดังกล่าว เวลาซื้อรถต้องดูให้ดีๆ ว่ายูโรอะไร ผลกระทบจากแบนรถยนต์ดีเซลตามกฎหมายใหม่นี้ ทำให้รถยนต์จำนวนมากไม่สามารถขับเข้ามาในเขตดังกล่าวได้ และสร้างความไม่แน่นอนให้จำนวนรถยนต์หลายล้านคันและราคารถยนต์ดีเซล (ที่เคยฮิตซื้อกันเมื่อหลายปีก่อน) ต้องราคาตกฮวบ (รวมทั้งรถของผู้เขียนด้วย ก็เป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบ)

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยลดมลพิษ โดยเฉพาะสารไนโตรเจน (ได)ออกไซน์ ในอากาศที่มาจากเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งอียูมีข้อกำหนดระดับอันตรายอยู่ที่ไม่เกิน 40 ไมโคกรัม ต่อ 1 คิวบิคเมตร แต่หลายๆ เมืองในเยอรมันก็เกินค่าดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 70 ไมโครกรัม ได้แก่ Stuttgart, Düsseldorf, Cologne และ Munich

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่น่าสนใจพิจารณาดูว่าจะ มีโอกาสทำได้มากน้อยแค่ไหน ในประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่ามาตรการดังกล่าวของประเทศในยุโรปอย่างเยอรมนี กำหนดบนพื้นฐานที่ระบบการคมนาคมขนส่งสาธารณะค่อนข้างดี และเชื่อมต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากแบนการใช้รถยนต์ คนก็สามารถหันไปพึ่งรถสาธารณะได้ ที่ควรคิดจะทำไปพร้อมๆ กันสำหรับประเทศไทย น่าจะเป็นการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ และราคาเหมาะสม สะท้อนค่าครองชีพคนไทย